ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
13 ธันวาคม 2564

โชว์ซิกแพค เอวคอด สูตรลดน้ำหนักแบบ IF ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักเร่งด่วน x ออกกำลังกาย ปลอดภัย ไม่ใช้ยา

ปัจจุบันที่เราต้องทำงานแบบ Work From Home ทำให้หลาย ๆ คนมักเกิดอาการกินจุกจิก กินไปทำงานไป รู้ตัวอีกทีก็อ้วนขึ้นซะแล้ว จนต้องหาวิธีลดความอ้วนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหลายคนก็จะใช้วิธี Intermittent Fasting หรือ IF เพื่อช่วยให้รูปร่างกลับมาดีเหมือนเดิม แต่การทำ IF นั้นก็ควรทำให้ถูกวิธี เพราะอาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกายและปัญหาสุขภาพได้
ก่อนจะรู้จักกับ Intermittent Fasting เรามารู้จักกับกลไกการทำงานของระบบเผาผลาญกันก่อน โดยเฉพาะคนที่ลดความอ้วนเป็นเวลานาน ๆ แล้วน้ำหนักเริ่มคงที่ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนอ้วนขึ้นหลังจากหยุดควบคุมอาหาร สาเหตุหลักนั้นเกิดมาจากระบบเผาผลาญมีประสิทธิภาพที่ลดลงนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น ปกติร่างกายรับสารอาหารวันละ 2000 แคลอรี แต่พออยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก จึงกินลดลง เหลือเพียง 1000 แคลอรี ในช่วงแรก ๆน้ำหนักจะลงเร็วมาก เพราะปริมาณสารอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายนำไปใช้ เกิดภาวะ Calorie Deficit แต่หลังจากนั้นร่างกายจะปรับตัว หากกินน้อยเป็นเวลานาน ๆ ร่างกายจะชะลอระบบเผาผลาญให้ร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง และเก็บไขมันสะสมเพิ่มขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ว่า หลังจากหยุดควบคุมอาหาร ทำไมถึงกลับมาอ้วน… และบางคนอ้วนกว่าเดิมเสียอีก! Intermittent Fasting หรือ IF จึงเป็นคำตอบของใครหลาย ๆ คนที่อยากจะควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
Intermittent Fasting หรือ IF คือการควบคุมแคลอรีหรือจำกัดเวลาการกินอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้นำไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งจริง ๆ แล้ว IF สามารถทำได้ถึงสามวิธี

  1. การ IF แบบวันเว้นวัน (Alternate-day fasting) คือการกินอาหารได้ตามปกติสลับกับวันที่อดอาหาร โดยในวันที่อดอาหารจะไม่กินอะไรเลยก็ได้ หรือถ้าหากหิวมากสามารถกินได้ 25% จากปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการต่อวัน (หรือประมาณ 500 แคลอรี)
  2. การ IF แบบทั้งวัน (Whole-day fasting) อดอาหาร 1-2 วันต่อสัปดาห์ เช่น ในสัปดาห์กินอาหารปกติเป็นเวลา 5 วัน และอีก 2 วันอดอาหาร โดยใช้หลักการเดิมคือ ถ้าหากหิวมากสามารถกินได้ 25% จากปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการต่อวัน (หรือประมาณ 500 แคลอรี)
  3. การ IF แบบจำกัดเวลากินอาหาร (Time-restricted feeding) เป็นวิธีที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และได้รับความนิยมมากที่สุด วิธีนี้สามารถกินอาหารได้ปกติทุกวัน แต่จำกัดช่วงเวลาการกิน เช่น 16/8 คือ อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกิน 8 ชั่วโมง ถ้าอาหารมื้อแรกคือ 8 โมงเช้า ก็สามารถกินอาหารได้ในเวลา 8.00-16.00 และหลังจากนั้นให้อดอาหารจนกว่าจะถึง 8 โมงเช้าในวันถัดไป ซึ่งก็แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วยว่าสะดวกอดอาหารในช่วงเวลาไหน หากเพิ่งเริ่มทำอาจจะค่อย ๆ เริ่มจาก 12/12 แล้วค่อย ๆ ขยับเวลาช่วงที่อดอาหารให้มากขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มเกิดความเคยชิน

ซึ่งในระหว่างการอดอาหาร ยังมีสิ่งที่สามารถกินได้ เช่น น้ำเปล่า กาแฟดำหรือชาไม่ใส่น้ำตาล และสิ่งที่ต้องระวังคือ ช่วงเวลาที่กินต้องไม่กินน้อยจนเกินไป เพราะจะส่งผลโดยตรงกับระบบเผาผลาญ และทำให้มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง จึงไม่แปลกว่าหลาย ๆ คนที่หยุดทำ IF แล้วกลับมาอ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าการทำ IF จะช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะสามารถทำ IF ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยบุคคลที่ไม่ควรทำ IF ได้แก่

• หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เพราะร่างกายต้องการสารอาหารในการสร้างเนื้อเยื่อของเด็กทารกให้เจริญเติบโตได้ตามปกติ ส่วนคุณแม่ลูกอ่อนนั้นก็ต้องการสารอาหารในการผลิตน้ำนมให้กับลูก
• คนที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต (10-19 ปี) ช่วงวัยนี้เป็นวัยแห่งการเจริญเติบโต จึงควรได้รับสารอาหาร และพลังงานให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้ร่างกายได้พัฒนาอย่างเต็มที่
• คนที่เป็นโรคเบาหวาน ถ้าหากอดอาหารอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าหรือเท่ากับ 70 mg/dL) ทำให้เกิดอาการมือสั่น เหงื่อออก อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นชักหรือหมดสติได้
• ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ได้รับการรักษาต่อเนื่องร่วมกับการกินยา การปรับช่วงเวลาทานอาหารหรือการอดอาหารอาจทำให้ไม่สามารถกินยาได้

บทความสุขภาพที่สำคัญ