อาการถ่ายอุจจาระเหลวหรืออาการท้องเสียเป็นอาการที่มักเกิดได้บ่อยกับทุกคน แม้จะเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงแต่ก็สร้างความลำบากในการใช้ชีวิตไม่น้อย ส่วนใหญ่แล้วทุกคนมักพุ่งเป้าสาเหตุเบื้องต้นไปที่การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย แต่ความจริงแล้วสาเหตุของอาการท้องเสียนั้นมีได้หลายปัจจัย อาการโดยทั่วไปคือการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่าปกติ อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย แต่หากมีอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับอาการท้องเสียเฉียบพลัน ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นควรสังเกตอาการผิดปกติและรีบเข้าพบแพทย์ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
ท้องเสีย VS ท้องเสียเฉียบพลัน
แน่นอนว่าร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน นิสัยการขับถ่ายของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไปด้วยรวมถึงอาการท้องเสีย แต่โดยปกติแล้วอาการท้องเสียธรรมดาจะมีอาการขับถ่ายหนักมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน และถ่ายเหลวเป็นน้ำมากกว่าปกติ ส่วนอาการท้องเสียเฉียบพลันจะมีอาการคล้ายคลึงกับท้องเสียธรรมดา แต่ว่าอาการรุนแรงกว่าและอาจมีอาการต่อเนื่องนานกว่า อาจจะถ่ายเป็นมูกปนเลือด 1 ครั้งหรือมากกว่านั้นภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ปวดท้องบิด ท้องอืด คลื่นไส้ อ่อนเพลีย รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้สูง อาเจียนอย่างรุนแรงหลายครั้ง และอุจจาระมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน
สาเหตุของการเกิดท้องเสีย
เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะลำเสียงอาหารตามระบบทางเดินอาหารจนมาถึงลำไส้เล็ก ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เหลือแต่กากใยทิ้งไว้และส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่ ที่มีหน้าที่ในการดูดซึมน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่ตกค้างกลับเข้าสู่กระแสเลือด แต่เมื่อมีอาการท้องเสีย ลำไส้จะไม่สามารถทำงานได้ปกติ สารอาหารที่มีลักษณะเป็นของเหลวนั้นจึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกมาปนกับของเสีย ทำให้อุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของอาการท้องเสียนั้นเกิดจากหลายปัจจัย โดยหลัก ๆ แล้วแบ่งออกตามลักษณะของอาการได้ดังนี้
· ท้องเสียเฉียบพลัน มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสหรือเชื้อปรสิต เช่น เชื้อแบคทีเรียอีโคไล เชื้อไวรัสโรต้า และเชื้อบิดอะมีบา เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วร่างกายจะได้รับเชื้อมาจากการปนเปื้อนของอาหารและน้ำดื่ม นอกจากนี้อาการท้องเสียเฉียบพลันยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การแพ้อาหารบางชนิด การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษหรืออาหารที่เป็นพิษ ไส้ติ่งอักเสบ หรือเยื่อบุลำไส้เสียหายจากการฉายรังสี เป็นต้น
· ท้องเสียเรื้อรังชนิดที่มีเลือดออก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการท้องเสียติดต่อกันมากกว่า 2 สัปดาห์และถือว่าเป็นอาการที่อันตราย ผู้ป่วยที่มีอาการนี้มักจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการลำไส้ใหญ่ผิดปกติเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่อักเสบ ลำไส้ใหญ่ติดเชื้อ โรคโครห์น เป็นต้น
· ท้องเสียเรื้อรังชนิดไม่มีเลือดออก ท้องเสียประเภทนี้เกิดจากการแปรแรวนของลำไส้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียเรื้อรังแบบไม่มีสาเหตุ
นอกเหนือจากปัจจัยหลักที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น
- การตอบสนองของร่างกายต่อยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิดที่เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ไม่ดีในร่างกาย แต่ก็จะทำลายแบคทีเรียที่ดีไปด้วย ซึ่งเป็นการไปรบกวนความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการท้องเสียตามมา และยังมียาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง และยาลดกรดแมกนีเซียม เป็นต้น
- การแพ้น้ำตาลแลคโตสและฟรุกโตส แลกโตสคือน้ำตาลที่พบในนมและอาหารที่แปรรูปมาจากนม ส่วนฟรุกโตสคือน้ำตาลที่พบในผลไม้และน้ำผึ้ง คนที่มีปัญหาในการย่อยน้ำตาลทั้งสองชนิดนี้จะมีอาการท้องเสียเมื่อบริโภคอาหารเหล่านี้ได้
- การผ่าตัด อาการท้องเสียอาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดบางชนิด เช่น ผ่าตัดลำไส้ หรือผ่าตัดนำถุงน้ำดีออก เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของอาการท้องเสีย
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียนั้นมักจะไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง ยกเว้นกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้สูงอายุ จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้มากกว่าปกติ
- ภาวะลำไส้แปรปรวน
- กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกยูรีเมีย หากอาการท้องเสียเกิดจากการติดเชื้อบางชนิด
- ร่างกายส่วนอื่นตอบสนองการติดเชื้อตามไปด้วย
- การติดเชื้อลุกลามไปอวัยวะส่วนอื่น
นอกจากนี้อาการท้องเสียทำให้เราขับถ่ายบ่อยครั้งและแต่ละครั้งร่างกายก็จะสูญเสียน้ำในปริมาณมาก จึงอาจให้เกิด Dehydration หรือภาวะขาดน้ำ ทำให้มีอาการกระหายน้ำ ตาแห้ง ปากแห้ง ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ง่วงซึม อ่อนเพลีย และในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำรุนแรงผู้ป่วยอาจมีไข้ มีอาการหัวใจเต้นแรงและเร็ว หายใจถี่หรือหอบ ความดันเลือดต่ำ ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้ม ซึ่งถ้าหากมีอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
- เมื่อมีอาการท้องเสียต่อเนื่องกัน 2 วันขึ้นไป และไม่มีท่าทีว่าอาการจะดีขึ้น
- เริ่มมีอาการภาวะขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำมาก ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ผิวแห้ง ปากแห้ง อ่อนเพลีย และวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
- มีอาการปวดท้องหรือทวารหนักอย่างรุนแรง
- มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หรืออุจจาระเป็นสีดำ
- มีไข้สูงกว่า 39 องศา
- มีอาการอาเจียน ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้น้อย
- มีโรคเรื้อรังอยู่แล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคเลือด โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัย
ในเบื้องต้นหากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงแพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติ เพื่อสอบถามอาการและตรวจสอบข้อมูลการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ช่วงเวลาและระยะเวลาที่มีอาการ ลักษณะอุจจาระ จำนวนครั้งที่ถ่าย และสอบถามอาการอื่น ๆ ที่มีร่วมด้วย นอกจากนี้แพทย์จะตรวจร่างกาย เช่น ตรวจชีพจร ตรวจหน้าท้อง ประเมินภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ แต่หากมีอาการรุนแรงหรือไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน แพทย์จำเป็นต้องตรวจในกระบวนการอื่นเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจเก็บตัวอย่างอุจจาระ และการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร
อาการท้องเสียสามารถรักษาได้หรือไม่
โดยปกติอาการท้องเสียทั่วไปจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาได้ในระยะเวลาไม่นาน เว้นแต่กลุ่มผู้ป่วยดังต่อไปนี้
- กลุ่มที่เป็นมะเร็งลำไส้ ในช่วงแรก ๆ สามารถรักษาให้หายได้ตามปกติ แต่หากปล่อยไว้โอกาสในการรักษาให้หายจะมีน้อยลง ดังนั้นเมื่อพบอาการที่มีเลือดปนมากับอุจจาระจึงต้องรีบพบแพทย์ทันที
- กลุ่มลำไส้อักเสบ แพทย์จะใช้ยารักษาและสามารถควบคุมอาการของโรคได้ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจเลือกการรักษาแบบผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
- กลุ่มลำไส้ใหญ่แปรปรวน แพทย์จะให้ยาบรรเทาอาการ ปรับเปลี่ยนอาหาร และปรับการใช้ชีวิตเพื่อลดความเครียด และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ
เมื่อท้องเสียหรือท้องเสียเฉียบพลันต้องดูแลตัวเองยังไง
- ดื่มน้ำมาก ๆ หรือดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป
- รับประทานยาที่ตามแพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
- หากอาการท้องเสียเกิดจากยาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ ควรแจ้งแพทย์ผู้รักษาให้ทราบเพื่อปรับขนาดหรือเปลี่ยนยาที่เหมาะสม
- หากอาการท้องเสียเกิดจากโรคเรื้อรังให้รีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร เพื่อวางแผนรักษาอาการผิดปกติได้ถูกต้อง
- หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเอง โดยเฉพาะอาการที่สัมพันธ์กับระบบการทำงานอื่น ๆ ของร่างกาย
- เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุก และถูกสุขอนามัย ควรทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป หรือขนมปัง หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง รสจัด อาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ของหวาน ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม
- เมื่ออาการดีขึ้นให้เริ่มทานอาหารที่มีกากใยสูง และผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์ชนิดที่ดี ที่เข้าไปช่วยให้ลำไส้ใหญ่ทำงานได้ดีขึ้น
วิธีการป้องกันอาการท้องเสีย
- ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานหรือสัมผัสอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หรือสัมผัสสิ่งสกปรกต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
- หากไม่สามารถล้างมือได้ ให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง ควรเป็นของที่ใหม่ สด ปรุงสุก หลีกเลี่ยงอาหารที่ล้างไม่สะอาด เนื้อสัตว์ดิบ และระวังอาหารที่รู้ว่าตัวเองมีอาการแพ้
- ไว้ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณภูมิห้องนาน เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโตจนทำให้อาหารเสียได้ ควรเก็บเข้าตู้เย็น
- ควรทำความสะอาดพื้นที่ที่เตรียมอาหารให้ถูกสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาดขณะปรุงอาหาร
- ดื่มน้ำสะอาดและถูกสุขลักษณะ
ถึงแม้โดยปกติอาการท้องเสียจะไม่ใช่อาการที่รุนแรง แต่ก็สร้างความลำบากในการใช้ชีวิต รวมถึงกระทบกับสุขภาพร่างกายและจิตใจได้ไม่น้อย หากไม่อยากเผชิญกับความเจ็บป่วยที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันแบบนี้ ก็ควรเลือกใส่ใจรักษาความสะอาดและระมัดระวังการรับประทานอาหารอยู่เสมอ
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่มีอาการท้องเสียแต่ไม่แน่ใจว่ามีอาการแทรกซ้อนหรือมีอาการเข้าข่ายท้องเสียเฉียบพลันหรือไม่ สามารถตรวจเช็คอาการเบื้องต้น กับ Emma Symptom Checker ผู้ช่วยตรวจสอบสุขภาพเบื้องต้น หรือท่านสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth
แหล่งที่มาของข้อมูล
· Mayo Clinic
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diarrhea/diagnosis-treatment/drc-20352246
· โรงพยาบาลเปาโล
https://bit.ly/3h8vbaf
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/march-2021/irritable-bowel-syndrome
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/acute-diarrhea
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3JMqTSm
https://bit.ly/3sdEA6Z
https://bit.ly/368aWar
https://bit.ly/3MFM22M
https://bit.ly/3CsLPvi