หากน้ำหนักเปลี่ยนแปลงผิดปกติ อ้วนขึ้นหรือผอมลงเร็วเกินไป พร้อมมีอาการนอนไม่หลับหรือผมร่วง รวมถึงลำคอมีอาการบวม นั่นแสดงว่าคุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ จะมีสัญญาณเตือนอะไรอีกบ้างไปดูกัน
มารู้จักกับโรคไทรอยด์เป็นพิษทั้ง 2 ชนิด
ต่อมไทรอยด์ คือ ต่อมที่อยู่ส่วนหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือกและติดกับหลอดลม มีลักษณะคล้ายผีเสื้อ ต่อมไทรอยด์จะแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายและซีกขวา ทั้ง 2 ต่อมจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) ต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ที่มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย และฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด
โรคไทยรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากหรือน้อยเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้น้ำหนักตัวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เหงื่อออกง่าย และหงุดหงิดฉุนเฉียว ซึ่งโรคไทรอยด์สามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
• ไฮเปอร์ไทรอยด์ (Hyperthyroidism) คือ โรคไทรอยด์ที่มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์มากเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูง เซลล์ในร่างกายทำงานเร็วกว่าปกติ ส่งผลต่อร่างกายคือ
o น้ำหนักลดลงผิดปกติ
o ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก
o เหนื่อยง่าย
o มีประจำเดือนน้อยลง
o ความจำไม่ดี
o กระสับกระส่าย ขนาดสมาธิ
o ผมร่วง
o หัวใจเต้นผิดจังหวะ
o ท้องเสีย
o ผิวเป็นด่างขาว
o มือสั่น แขนขาไม่มีแรง
o ตาโปน
o ต่อมไทรอยด์โต
o เป็นปื้นหนาที่ขา
• ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) คือ โรคไทรอยด์ที่มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์น้อยเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำ เซลล์ในร่างกายทำงานช้ากว่าปกติ ส่งผลต่อร่างกาย คือ
o น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
o ขี้หนาว
o ง่วงนอน อ่อนเพลียง่าย
o ผมร่วง
o ผิวแห้ง
o ซึมเศร้า
o เป็นตะคริวง่าย
o หัวใจเต้นช้า
o ท้องผูก
o รอบตาบวม
o หน้าบวม ตัวบวม
o ต่อมไทรอยด์โต
สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ
โรคไทรอยด์เป็นพิษ มีสาเหตุสำคัญมาจากปฏิกิริยาร่างกายของเราเองที่ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินความจำเป็น และมีสภาวะเป็นพิษ จนทำให้ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
• โรคเกรฟวส์ (Graves’ Disease)
เป็นปัจจัยที่พบมากที่สุด ซึ่งโรคนี้จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากผิดปกติจนกลายเป็นพิษ ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าโรคเกรฟวส์นี้มีสาเหตุมาจากอะไร รู้แต่เพียงว่าโรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้หญิงวัยรุ่นและวัยกลางคน และยังสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม การสูบบุหรี่ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากขึ้น
• พฤติกรรมในการรับประทานอาหาร
หากรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนมากเกินก็อาจก่อให้เกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์
• เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์
กรณีนี้พบได้น้อย โดยเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมไทรอยด์และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจจะส่งผลให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษได้
• การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis)
การอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุของต่อมไทรอยด์สามารถส่งผลให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โดยการอักเสบของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอร์โมนไทรอยด์ถูกผลิตออกมามากขึ้นและรั่วไหลออกไปที่กระแสเลือด ซึ่งการอักเสบของต่อมไทรอยด์โดยปกติจะไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย ยกเว้นกรณีของอาการต่อมไทรอยด์อักเสบกึ่งเฉียบพลัน ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย
• การได้รับการเสริมฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป
ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางชนิด เช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษ รวมไปถึงยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยภาวะไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) ด้วย
10 สัญญาณเตือนไทรอยด์เป็นพิษ
ลองสังเกตร่างกายว่ากำลังมีอาการต่อไปนี้อยู่หรือไม่ หากมีให้ตั้งข้อสงสัยไว้ได้เลยว่า คุณอาจจะกำลังเจอกับโรคไทรอยด์เป็นพิษ
• อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น
เพราะเมื่อเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น และในภาวะที่ไทรอยด์ทำงานต่ำจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง
• ผมร่วง
เป็นผลมาจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือไฮโปไทรอยด์ที่ต่อมไทรอยด์มีการทำงานต่ำกว่าปกติ
• นอนไม่หลับ
เกิดจากไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนออกมามากเกินไปจนไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและรบกวนการพักผ่อนได้
• รู้สึกง่วงตลอดเวลา
เพราะมีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ จนทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
• อ้วนขึ้นหรือผอมลงแบบผิดปกติ
หากไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวลดเร็วผิดปกติ ในทางกลับกันหากไทรอยด์ทำงานต่ำเกินไปก็จะเกิดภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่ายผิดปกติ
• รู้สึกหิวบ่อยหรือรู้สึกไม่หิว รับประทานไม่ค่อยได้
ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานเยอะขึ้นก็จะรู้สึกหิวบ่อย รับประทานได้มากขึ้น แต่น้ำหนักตัวลดลง แต่ถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยลงก็จะส่งผลให้รับประทานไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยหิว แต่ตัวบวม อ้วนง่าย
• ขับถ่ายไม่ปกติ
เข้าห้องน้ำน้อยกว่าปกติหรือมีอาการท้องผูกบ่อย ๆ แม้จะรับประทานผักผลไม้ เกิดจากร่างกายมีภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติจะส่งผลให้ลำไส้ทำงานมากขึ้น ทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยกว่าปกติ แต่ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำอาจทำให้มีอาการท้องผูก
• รู้สึกหนาวหรือขี้ร้อนมากขึ้น
เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานผลิตฮอร์โมนออกมาได้ไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานช้าลง ส่งผลให้ความร้อนในร่างกายก็ลดลงไปด้วย ภาวะไทรอยด์ต่ำก็จะทำให้มีอาการขี้หนาว แต่หากมีภาวะไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติก็จะมีอาการขี้ร้อน เหงื่อออกมากกว่าปกติ
• ผิวแห้ง
ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ช้าลง เมื่อร่างกายเผาผลาญน้อย เหงื่อก็ออกน้อยลง ทำให้ผิวหนังแห้งมากกว่าปกติ
• ใจสั่น
ภาวะไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไปจะเข้าไปเร่งกระบวนการทำงานของร่างกายส่วนต่าง ๆ ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
วิธีตรวจเช็กง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
• ส่องกระจกและยืดลำคอขึ้น ค่อย ๆ หันทางซ้ายและทางขวาช้า ๆ เพื่อหาความผิดปกติของลำคอ
• ใช้นิ้วชี้และนิ้วหกลางของมือทั้งสองข้างคลำลำคอพร้อม ๆ กันแต่ละด้าน จากด้านหลังไปด้านหน้า และจากบนลงล่าง
• หากพบการสัมผัสที่ติดขัดเหมือนมีก้อน ให้ลองคลึงดู
• หากพบก้อนผิดปกติให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
วิธีการรักษา
การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ เงื่อนไขทางร่างกาย และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะมีวิธีการรักษาดังนี้
• รักษาด้วยยาต้านไทรอยด์
ยาเมไทมาโซล (Methimazole: MMI) และยาโพพิลไทโออูราซิล (Propylthiouracil: PTU) เป็นยาต้านไทรอยด์ที่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย ยาจะเข้าไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้สร้างฮอร์โมนออกมามากจนเกินไปภายใน 2 – 8 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณากำหนดปริมาณยาที่ต้องใช้ จะต้องใช้ยาในการรักษาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 1 ปีหรือมากกว่านั้น ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นคือ ทำให้เกิดผื่น มีไข้ และปวดตามข้อ และกรณีรุนแรงที่พบได้น้อยคือมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ จึงทำให้แพทย์อาจจะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดขาวควบคู่ไปกับการใช้ยาในบางกรณี
• การรักษาด้วยรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine)
เป็นการรักษาด้วยการรับประทานสารรังสีไอโอดีน ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย สารนี้จะถูกดูดซึมโดยต่อมไทรอยด์ และทำลายเนื้อต่อม ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ หดตัวลงและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 เดือน แต่ก็มีผลข้างเคียงคือจะทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยลงจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมด้วย การรักษาด้วยรังสีนี้จะใช้กับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
• การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy)
กรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือไม่สามารถใช้ยาในการรักษาหรือรักษาด้วยรังสีไอโอดีนได้ การผ่าตัดก็จะช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่เกิดในกรณีที่น้อยมาก โดยในการผ่าตัด แพทย์จะนำต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ออกเพื่อรักษาอาการ แต่ความเสี่ยงในการผ่าตัดก็คืออาจทำลายเส้นเสียงและต่อมพาราไทรอยด์ได้ และหลังจากทำการผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนไปตลอดชีวิต และหากมีการนำเอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วยในการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับแคลเซียมด้วย
• การใช้ยาต้านเบต้า (Beta Blockers)
ยาต้านเบต้าจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง บรรเทาอาการใจสั่น และอาการวิตกกังวล และมักใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง แต่ยาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย หรือวิงเวียนศีรษะ
• การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
โรคไทรอยด์สามารถก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยลดภาวะขาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
• ปัญหาสายตา
เช่น ตาแห้ง ตาไวต่อแสง ตาแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง ตาบวม ตาโปนออกมามากกว่าปกติ บริเวณเปลือกตาแดงบวม เปลือกตาปลิ้นออกมาผิดปกติ โดยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเมื่ออาการไทรอยด์เป็นพิษได้รับการรักษา แต่ในบางกรณีผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นได้
• ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ป่วย อาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายได้
• ภาวะไทรอยด์ต่ำ
• กระดูกเปราะบาง
หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลต่อกระดุูกทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ เพราะร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง กระดูกจึงอ่อนแอและเปราะบางนั่นเอง
• ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต
หากควบคุมระดับไทรอยด์ไม่ดี ก็จะทำให้อาการรุนแรงขึ้นมีโอกาสเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติของร่างกาย ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรจะรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโดยละเอียด เพื่อหาทางรักษาได้ทันท่วงที เพราะธรรมชาติของร่างกายของเราจะคอยส่งสัญญาณเตือนเสมอเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ดังนั้นการหมั่นฟังเสียงของร่างกายตนเองจึงเป็นสิ่งที่ควรฝึกไว้ให้เป็นนิสัย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและชีวิตที่มีความสุขของเรา
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่พบว่าเป็นไทรอยด์และต้องการการรักษาต่อเนื่อง สามารถปรึกษาโครงการแคร์คุณกว่าใครเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่เหมาะสมและแพทย์เฉพาะทางได้ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก www.krungthai-axa.co.th/th/health-services/care-coordination
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://www.bangkokhospital.com/content/10-thyroid-disease-signs
· คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://bit.ly/3bugrDB
· โรงพยาบาลพญาไท
https://www.phyathai.com/article_detail/2887/th/view
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/october-2020/thyrotoxicosis
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3oMpMK2
