ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
02 ธันวาคม 2565

อ้วนขึ้นหรือผอมลงผิดปกติ นอนไม่หลับ ผมร่วง เช็กด่วนเป็นไทรอยด์เป็นพิษหรือไม่

หากน้ำหนักเปลี่ยนแปลงผิดปกติ อ้วนขึ้นหรือผอมลงเร็วเกินไป พร้อมมีอาการนอนไม่หลับหรือผมร่วง รวมถึงลำคอมีอาการบวม นั่นแสดงว่าคุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ จะมีสัญญาณเตือนอะไรอีกบ้างไปดูกัน

 

มารู้จักกับโรคไทรอยด์เป็นพิษทั้ง 2 ชนิด

ต่อมไทรอยด์ คือ ต่อมที่อยู่ส่วนหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือกและติดกับหลอดลม มีลักษณะคล้ายผีเสื้อ ต่อมไทรอยด์จะแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายและซีกขวา ทั้ง 2 ต่อมจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) ต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ที่มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย และฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด

โรคไทยรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากหรือน้อยเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้น้ำหนักตัวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เหงื่อออกง่าย และหงุดหงิดฉุนเฉียว ซึ่งโรคไทรอยด์สามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ

•       ไฮเปอร์ไทรอยด์ (Hyperthyroidism) คือ โรคไทรอยด์ที่มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์มากเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูง เซลล์ในร่างกายทำงานเร็วกว่าปกติ ส่งผลต่อร่างกายคือ

o   น้ำหนักลดลงผิดปกติ

o   ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก

o   เหนื่อยง่าย

o   มีประจำเดือนน้อยลง

o   ความจำไม่ดี

o   กระสับกระส่าย ขนาดสมาธิ

o   ผมร่วง

o   หัวใจเต้นผิดจังหวะ

o   ท้องเสีย

o   ผิวเป็นด่างขาว

o   มือสั่น แขนขาไม่มีแรง

o   ตาโปน

o   ต่อมไทรอยด์โต

o   เป็นปื้นหนาที่ขา

•       ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) คือ โรคไทรอยด์ที่มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์น้อยเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำ เซลล์ในร่างกายทำงานช้ากว่าปกติ ส่งผลต่อร่างกาย คือ

o   น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

o   ขี้หนาว

o   ง่วงนอน อ่อนเพลียง่าย

o   ผมร่วง

o   ผิวแห้ง

o   ซึมเศร้า

o   เป็นตะคริวง่าย

o   หัวใจเต้นช้า

o   ท้องผูก

o   รอบตาบวม

o   หน้าบวม ตัวบวม

o   ต่อมไทรอยด์โต

 

สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ

              โรคไทรอยด์เป็นพิษ มีสาเหตุสำคัญมาจากปฏิกิริยาร่างกายของเราเองที่ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินความจำเป็น และมีสภาวะเป็นพิษ จนทำให้ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่

•       โรคเกรฟวส์ (Graves’ Disease)

เป็นปัจจัยที่พบมากที่สุด ซึ่งโรคนี้จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากผิดปกติจนกลายเป็นพิษ ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าโรคเกรฟวส์นี้มีสาเหตุมาจากอะไร รู้แต่เพียงว่าโรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้หญิงวัยรุ่นและวัยกลางคน และยังสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม การสูบบุหรี่ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากขึ้น

•       พฤติกรรมในการรับประทานอาหาร

หากรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนมากเกินก็อาจก่อให้เกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์

•       เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์

กรณีนี้พบได้น้อย โดยเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมไทรอยด์และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจจะส่งผลให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษได้

•       การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis)

การอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุของต่อมไทรอยด์สามารถส่งผลให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โดยการอักเสบของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอร์โมนไทรอยด์ถูกผลิตออกมามากขึ้นและรั่วไหลออกไปที่กระแสเลือด ซึ่งการอักเสบของต่อมไทรอยด์โดยปกติจะไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย ยกเว้นกรณีของอาการต่อมไทรอยด์อักเสบกึ่งเฉียบพลัน ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย

•       การได้รับการเสริมฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป

ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางชนิด เช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษ รวมไปถึงยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยภาวะไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) ด้วย

 

10 สัญญาณเตือนไทรอยด์เป็นพิษ

ลองสังเกตร่างกายว่ากำลังมีอาการต่อไปนี้อยู่หรือไม่ หากมีให้ตั้งข้อสงสัยไว้ได้เลยว่า คุณอาจจะกำลังเจอกับโรคไทรอยด์เป็นพิษ

•       อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น

เพราะเมื่อเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น และในภาวะที่ไทรอยด์ทำงานต่ำจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง

•       ผมร่วง
เป็นผลมาจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือไฮโปไทรอยด์ที่ต่อมไทรอยด์มีการทำงานต่ำกว่าปกติ

•       นอนไม่หลับ

เกิดจากไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนออกมามากเกินไปจนไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและรบกวนการพักผ่อนได้

•       รู้สึกง่วงตลอดเวลา

เพราะมีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ จนทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย

•       อ้วนขึ้นหรือผอมลงแบบผิดปกติ

หากไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวลดเร็วผิดปกติ ในทางกลับกันหากไทรอยด์ทำงานต่ำเกินไปก็จะเกิดภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่ายผิดปกติ

•       รู้สึกหิวบ่อยหรือรู้สึกไม่หิว รับประทานไม่ค่อยได้

ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานเยอะขึ้นก็จะรู้สึกหิวบ่อย รับประทานได้มากขึ้น แต่น้ำหนักตัวลดลง แต่ถ้าไทรอยด์ทำงานน้อยลงก็จะส่งผลให้รับประทานไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยหิว แต่ตัวบวม อ้วนง่าย

•       ขับถ่ายไม่ปกติ

เข้าห้องน้ำน้อยกว่าปกติหรือมีอาการท้องผูกบ่อย ๆ แม้จะรับประทานผักผลไม้ เกิดจากร่างกายมีภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติจะส่งผลให้ลำไส้ทำงานมากขึ้น ทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยกว่าปกติ แต่ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำอาจทำให้มีอาการท้องผูก

•       รู้สึกหนาวหรือขี้ร้อนมากขึ้น

เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานผลิตฮอร์โมนออกมาได้ไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานช้าลง ส่งผลให้ความร้อนในร่างกายก็ลดลงไปด้วย ภาวะไทรอยด์ต่ำก็จะทำให้มีอาการขี้หนาว แต่หากมีภาวะไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติก็จะมีอาการขี้ร้อน เหงื่อออกมากกว่าปกติ

•       ผิวแห้ง

ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ช้าลง เมื่อร่างกายเผาผลาญน้อย เหงื่อก็ออกน้อยลง ทำให้ผิวหนังแห้งมากกว่าปกติ

•       ใจสั่น

ภาวะไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไปจะเข้าไปเร่งกระบวนการทำงานของร่างกายส่วนต่าง ๆ ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

 

วิธีตรวจเช็กง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

•       ส่องกระจกและยืดลำคอขึ้น ค่อย ๆ หันทางซ้ายและทางขวาช้า ๆ เพื่อหาความผิดปกติของลำคอ

•       ใช้นิ้วชี้และนิ้วหกลางของมือทั้งสองข้างคลำลำคอพร้อม ๆ กันแต่ละด้าน จากด้านหลังไปด้านหน้า และจากบนลงล่าง

•       หากพบการสัมผัสที่ติดขัดเหมือนมีก้อน ให้ลองคลึงดู

•       หากพบก้อนผิดปกติให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

วิธีการรักษา

การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น  อายุ เงื่อนไขทางร่างกาย และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะมีวิธีการรักษาดังนี้

•       รักษาด้วยยาต้านไทรอยด์

ยาเมไทมาโซล (Methimazole: MMI) และยาโพพิลไทโออูราซิล (Propylthiouracil: PTU) เป็นยาต้านไทรอยด์ที่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย ยาจะเข้าไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้สร้างฮอร์โมนออกมามากจนเกินไปภายใน 2 – 8 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณากำหนดปริมาณยาที่ต้องใช้ จะต้องใช้ยาในการรักษาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 1 ปีหรือมากกว่านั้น ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นคือ ทำให้เกิดผื่น มีไข้ และปวดตามข้อ และกรณีรุนแรงที่พบได้น้อยคือมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ จึงทำให้แพทย์อาจจะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดขาวควบคู่ไปกับการใช้ยาในบางกรณี

•       การรักษาด้วยรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine) 

เป็นการรักษาด้วยการรับประทานสารรังสีไอโอดีน ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย สารนี้จะถูกดูดซึมโดยต่อมไทรอยด์ และทำลายเนื้อต่อม ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ หดตัวลงและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 เดือน แต่ก็มีผลข้างเคียงคือจะทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยลงจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมด้วย การรักษาด้วยรังสีนี้จะใช้กับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

•       การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy)

กรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือไม่สามารถใช้ยาในการรักษาหรือรักษาด้วยรังสีไอโอดีนได้ การผ่าตัดก็จะช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่เกิดในกรณีที่น้อยมาก โดยในการผ่าตัด แพทย์จะนำต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ออกเพื่อรักษาอาการ แต่ความเสี่ยงในการผ่าตัดก็คืออาจทำลายเส้นเสียงและต่อมพาราไทรอยด์ได้ และหลังจากทำการผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนไปตลอดชีวิต และหากมีการนำเอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วยในการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับแคลเซียมด้วย

•       การใช้ยาต้านเบต้า (Beta Blockers)

ยาต้านเบต้าจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง บรรเทาอาการใจสั่น และอาการวิตกกังวล และมักใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง แต่ยาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย หรือวิงเวียนศีรษะ

•       การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

โรคไทรอยด์สามารถก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยลดภาวะขาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น

 

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

•       ปัญหาสายตา

เช่น ตาแห้ง ตาไวต่อแสง ตาแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง ตาบวม ตาโปนออกมามากกว่าปกติ บริเวณเปลือกตาแดงบวม เปลือกตาปลิ้นออกมาผิดปกติ โดยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเมื่ออาการไทรอยด์เป็นพิษได้รับการรักษา แต่ในบางกรณีผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นได้

•       ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ

เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ป่วย อาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายได้

•       ภาวะไทรอยด์ต่ำ

•       กระดูกเปราะบาง

หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะส่งผลต่อกระดุูกทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ เพราะร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง กระดูกจึงอ่อนแอและเปราะบางนั่นเอง

•       ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต

หากควบคุมระดับไทรอยด์ไม่ดี ก็จะทำให้อาการรุนแรงขึ้นมีโอกาสเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติของร่างกาย ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรจะรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโดยละเอียด เพื่อหาทางรักษาได้ทันท่วงที เพราะธรรมชาติของร่างกายของเราจะคอยส่งสัญญาณเตือนเสมอเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ดังนั้นการหมั่นฟังเสียงของร่างกายตนเองจึงเป็นสิ่งที่ควรฝึกไว้ให้เป็นนิสัย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและชีวิตที่มีความสุขของเรา

 

สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่พบว่าเป็นไทรอยด์และต้องการการรักษาต่อเนื่อง สามารถปรึกษาโครงการแคร์คุณกว่าใครเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่เหมาะสมและแพทย์เฉพาะทางได้ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก www.krungthai-axa.co.th/th/health-services/care-coordination

 

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://www.bangkokhospital.com/content/10-thyroid-disease-signs

·       คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://bit.ly/3bugrDB

·       โรงพยาบาลพญาไท
https://www.phyathai.com/article_detail/2887/th/view

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/october-2020/thyrotoxicosis

·       เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3oMpMK2

บทความสุขภาพที่สำคัญ