ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ป่วยเป็นภูมิแพ้มากขึ้น 3 ถึง 4 เท่า โดยมีเด็กป่วยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 38 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 4.3 ล้านคน และผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 20 หรือประมาณ 11 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากสถิติเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งต้นตอหรือสาเหตุของภูมิแพ้นั้นมีหลากหลายตั้งแต่ ฝุ่น อากาศ เกสรดอกไม้ อาหาร และยังแพ้สิ่งอื่น ๆ ได้อีกมากมาย โดยวันนี้เราจะพามารู้จักกับโรคภูมิแพ้และวิธีการรับมือรวมถึงการป้องกันอย่างเหมาะสมกัน
โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร
โรคภูมิแพ้เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อว่า ไอ-จี-อี (IgE) ขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้และปล่อยสารฮีสตามีน (Histamine) ที่ทำให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบระคายเคือง โดยความรุนแรงของอาการก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งมีตั้งแต่ระคายเคืองเล็กน้อยไปจนถึงภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคภูมิแพ้ สามารถแพ้อะไรได้บ้าง
สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งสารที่มักก่อให้เกิดภูมิแพ้ในชีวิตประจำวันมีดังนี้
· ยา เช่น ยาแก้แพ้บางชนิด โดยผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ต่อสารในยาแก้แพ้ เช่น Hydroxyzine, Cetirizine รวมถึงยาปฏิชีวนะ อินซูลิน ฯลฯ
· อาหาร เช่น ไข่ขาว นมวัว ถั่วลิสง อาหารทะเล ฯลฯ
· แมลง เช่น ผึ้ง มดคันไฟ เหล็กในของสัตว์ ยุงกัด แมลงสาบ ฯลฯ
· ยาง เช่น ยางพารา ลูกโป่ง ฯลฯ
· เชื้อรา เช่น เชื้อรา(เพนนิซิเลีย) ยีสต์ ฯลฯ
· เกสร เช่น เกสรดอกไม้ นุ่น วัชพืช ฯลฯ
· สัตว์ เช่น โปรตีนในขนสัตว์ น้ำลายสุนัข น้ำลายแมว หนูและแฮมสเตอร์ ฯลฯ
· ฝุ่นละออง ฝุ่น PM2.5 ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ รวมไปถึงตัวไรฝุ่นที่อยู่ในเตียง โซฟา เป็นต้น
คนเป็นโรคภูมิแพ้มีอาการอย่างไร
เช่นเดียวกับสารก่อภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บางคนอาจจะมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อย เช่น ลมพิษ ในขณะที่บางคนอาจจะมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ช็อก จนไปถึงขั้นเสียชีวิต โดยโรคภูมิแพ้จะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
· ระบบทางเดินหายใจ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ผ่านระบบทางเดินหายใจโดยการสูดดม ส่งผลให้มีอาการจาม น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจลำบาก ไอและหอบหืด เป็นต้น
· ระบบผิวหนัง มักมีต้นตอมาจากการแพ้อาหารและยา ทำให้มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นลมพิษ คันตามร่างกาย ตาบวม ลิ้นบวม รวมถึงมีอาการปากบวม
· ระบบทางเดินอาหาร ต้นเหตุส่วนใหญ่มาจากการแพ้อาหาร ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ปวดหัว เวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น บางรายหากมีอาการแพ้รุนแรงก็อาจจะมีอาการช็อกหรือหายใจ้ติดขัด ไปจนถึงขั้นเสียชีวิต
เราจะหาสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ได้อย่างไร
1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergen Skin Pick Test) โดยสะกิดผิวหนังด้วยเข็มที่มีสารก่อภูมิแพ้ แล้วรอดูผลว่าสารอะไรที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ซึ่งสามารถทดสอบได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป เพราะผิวหนังของเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ มีภาวะผิวหนังยังไม่เจริญเต็มที่ อาจส่งผลให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้
2. การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE) โดยการเจาะเลือดแล้วแยกน้ำเหลืองออกมา หลังจากนั้นทำการทดสอบกับสารแต่ละชนิดเพื่อจำแนกว่าเกิดการแพ้จากสารใดบ้าง ข้อดีของวิธีนี้คือไม่ต้องสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้โดยตรง ทำให้ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ
ภูมิแพ้รักษาให้หายขาดได้ไหม เราควรรับมืออย่างไร
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคภูมิแพ้ให้หายขาดได้ แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีการเหล่านี้
· หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ถึงแม้จะใช้ยารักษาแล้วแต่หากยังไม่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ก็ยังทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบต่อไปได้ ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เรามีความเสี่ยง เช่น หากคุณแพ้เกสรดอกไม้ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีสวนดอกไม้ ต้นไม้ ป่า หากคุณแพ้ละอองฝุ่น ให้หลีกเลี่ยงการออกไปพื้นที่ก่อสร้างและสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเมื่ออยู่ภายนอก
· รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยาแก้แพ้ สเตียรอยด์ (Steroid) ยาพ่นหอบหืด เป็นต้น
· ออกกำลังกายเป็นประจำและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7 – 8 ชั่วโมง
· รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่และรับประทานผลไม้วิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง และอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
โรคยอดฮิตอย่างโรคภูมิแพ้ใกล้ตัวกว่าที่คิด อีกทั้งยังเกิดได้ทั้งวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามแต่สิ่งที่สำคัญคือการดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรงก็ทำให้ห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ ได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· Cleverland Clinic
http://bitly.ws/S95w
· NSH
http://bitly.ws/S95P
· โรงพยาบาลพญาไท
http://bitly.ws/S968
· โรงพยาบาลเปาโล
http://bitly.ws/S96I
· Mayo Clinic
http://bitly.ws/S96M
· โรงพยาบาลศิริราช
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://bit.ly/3PJZKoP
