ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
26 พฤศจิกายน 2566

รู้หรือไม่? สีและรูปร่างของอุจจาระ บ่งบอกถึงสุขภาพลำไส้

อุจจาระเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลงเหลือจากระบบการย่อยอาหารที่มาจากการรับประทานอาหารมาทั้งวัน ทั้งน้ำปั่น ก๋วยเตี๋ยว รวมถึงอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน โดยกลิ่นของอุจจาระมาจากแบคทีเรียที่ร่างกายเราขับออกมาและสีของอุจจาระก็สามารถสะท้อนถึงปัญหาสุขภาพได้ เช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือการเป็นโรคลำไส้ต่าง ๆ เราชวนทุกคนมาสังเกตสีและรูปร่างของอุจจาระเพื่อเช็กสุขภาพของร่างกายกัน

 

มารู้จักกับระบบขับถ่าย

                  ระบบขับถ่าย คือ ระบบการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย โดยที่จริงแล้วนั้นการขับถ่ายไม่ได้มีเพียงแค่การขับปัสสาวะและอุจจาระ แต่ยังรวมไปถึงการขับเหงื่อผ่านทางผิวหนัง และการขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการหายใจออกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาเน้นในเรื่องของระบบขับถ่ายอุจจาระเท่านั้น

                  ระบบขับถ่ายอุจจาระจะเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว จะหลงเหลือเป็นกากอาหารและถูกส่งต่อไปที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ที่เรียกว่าไส้ตรง (Rectum) เพื่อรอขับถ่ายผ่านทางทวารหนัก

                  การสังเกตพฤติกรรมการขับถ่าย รวมไปถึงลักษณะของอุจจาระสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของระบบขับถ่ายได้ คนที่ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติจะขับถ่ายวันละไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์และไม่บ่อยกว่า 3 ครั้งต่อวัน โดยความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระที่พบบ่อยและทุกคนคุ้นเคยกันดี ได้แก่ อาการท้องผูกและท้องเสีย  

 

สีและรูปร่างของอุจจาระบอกอะไรได้บ้าง

              มีการศึกษาที่เชื่อถือได้ว่าลักษณะของอุจจาระสามารถบ่งบอกปัญหาสุขภาพได้เป็นอย่างดี สีปกติของอุจจาระคือ สีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีคล้ำ ถ้าหากมีลักษณะหรือสีผิดไปจากนี้ ก็บ่งบอกได้ว่าร่างกายอาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นได้

o   อุจจาระแข็ง - มีลักษณะคล้ายมูลกระต่าย เหมือนก้อนมูลกระต่ายรวมกัน ผิวขรุขระ เป็นก้อนยาว มีรอยแยกที่ผิว ลักษณะเหล่านี้บ่งบอกอาการท้องผูกและดื่มน้ำไม่เพียงพอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป ทำให้อุจจาระไปค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานมากจนแห้งแข็ง เพราะลำไส้ใหญ่จะดูดซึมน้ำเข้าร่างกายจนหมดนั่นเอง

o   อุจจาระรูปร่างยาวทรงรี – มีลักษณะคล้ายไส้กรอกหรืองู มีผิวเรียบ และไม่แข็งหรือไม่นิ่มจนเกินไป เป็นอุจจาระสุขภาพดี ถ้ามีลักษณะขรุขระอาจจะเกิดจากการดื่มน้ำน้อย

o   อุจจาระที่แตกเป็นชิ้น ๆ – มีลักษณะเหมือนนักเก็ตรูปร่างเป็นเหลี่ยม เป็นอุจจาระสุขภาพดี แต่เป็นสัญญาณเริ่มต้นว่าร่างกายกำลังขาดไฟเบอร์ (Fiber)

o   อุจจาระเหลว - สัญญาณของอาการท้องเสียซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือโรคแฝงบางชนิด

o   อุจจาระเหลวก้อนผสมกัน – เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอาการท้องเสีย อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย

o   อุจจาระมีเลือดสีแดงสดปน - มีเลือดออกในลำไส้ส่วนล่าง เช่น ลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก หรืออาจเกิดจากโรคริดสีดวงทวารหรืออาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก

o   อุจจาระเหนียวคล้ายยางมะตอย – อาจมีเลือดออกบริเวณลำไส้ส่วนต้น อุจจาระลักษณะนี้เรียกว่า อุจจาระสีน้ำมันดิน (Melena) ซึ่งเกิดจากการที่เลือดมีการเปลี่ยนแปลงในลำไส้ อุจจาระสีเข้มยังสามารถเกิดจากโรคระบบทางเดินอาหารหรือเกิดจากอาหารที่มีไขมันสูงได้

o   อุจจาระสีดำ – อาจเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกบริเวณลำไส้ส่วนบน เช่น แผลในลำไส้และแผลในกระเพาะอาหารหรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารเสริมหรือยาบางอย่าง เช่น อาหารเสริมธาตุเหล็ก

o   อุจจาระปริมาณมากและสีซีด – อาจมีปัญหาที่ตับหรือถุงน้ำดี

o   อุจจาระสีเขียว - หากไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย อาจจะเกิดจากการรับประทานผักใบเขียวหรือสีผสมอาหารสีเขียว แต่ถ้ามีอาการอื่นร่วม เช่น ท้องเสียหรืออาเจียน เป็นระยะเวลานานและอาการไม่ดีขึ้น อุจจาระสีเขียวอาจแสดงว่าเป็นโรคโครห์นหรือโรคลำไส้แปรปรวน

o   อุจจาระสีเหลือง - มีความมันและกลิ่นเหม็นมาก แสดงว่ามีไขมันในอุจจาระมาก อาจเกิดจากความผิดปกติของการดูดซึมอาหาร

 

การขับถ่ายที่ดีเป็นอย่างไร

              การขับถ่ายที่ดี คือ การที่ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้ทุกวัน โดยเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง และไม่ควรเกิน 3 ครั้ง และเวลาขับถ่ายสามารถทำได้ง่าย สะดวก อุจจาระที่ถ่ายออกมาไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป ลักษณะของอุจจาระที่เป็นปกติคือ มีรูปร่างสม่ำเสมอ สามารถเคลื่อนออกจากลำไส้ได้ง่าย ทั้งนี้ลักษณะของอุจจาระจะเปลี่ยนไปตามลักษณะของอาหารที่เลือกรับประทาน

 

ถ่ายเป็นเลือดหมายถึงอะไรได้บ้าง

                  เบื้องต้นควรสังเกตจำนวนครั้งและปริมาณเลือดที่ออกมากับอุจจาระ โดยผู้ป่วยที่มีเลือดหยดหลังการถ่ายอุจจาระ อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากการมีบาดแผลที่เส้นเลือดดำส่วนปลายทวาร ซึ่งอาจเกิดจากการเบ่งหรืออุจจาระแข็ง แต่ถ้าหากมีเลือดปนมากับอุจจาระหรือถ่ายออกมามีแต่เลือด ก็จะหมายถึงเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นภายใน ซึ่งโรคที่เข้าข่ายที่ทำให้เกิดการถ่ายเป็นเลือดมี ดังต่อไปนี้

·       โรคริดสีดวงทวาร

จะเกิดจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำเนื่องจากท้องผูก ท้องเสีย ทำให้เส้นเลือดที่ปลายทวารหนักบวมและไม่ยุบลง จนเกิดเป็นตุ่มริดสีดวงทวาร ในบางรายอาจมีตุ่มริดสีดวงอักเสบมาก ๆ ก็จะหลุดออกมาด้านนอก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดเวลาเดินหรือนั่ง แต่ในบางรายก็ไม่มีอาการปวด และจะมีเลือดหยดออกมาหลังถ่ายเสร็จ แต่สีอุจจาระจะเป็นปกติ

·       โรคเส้นเลือดลำไส้ใหญ่ผิดปกติ

เกิดจากเส้นเลือดเส้นเล็ก ๆ มีมากขึ้นผิดปกติ ทำให้เวลาถ่ายอุจจาระจะมีเลือดออกมาด้วยทั้งแบบก้อนและแบบน้ำเลือด แต่จะไม่มีอาการปวดท้องร่วม โรคนี้จะพบได้มากในผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป อาการสามารถหายไปได้เอง แต่ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัดว่าไม่ได้มีสาเหตุจากโรคอื่น

·       ติ่งเนื้องอกลำไส้ใหญ่

เป็นเนื้องอกที่เกิดจากกรรมพันธุ์ มักจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นอาการที่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้ ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการ แต่อาจจะมีเลือดเคลือบผิวอุจจาระที่ขับถ่ายออกมา

·       ลำไส้ใหญ่อักเสบ

เกิดจากการติดเชื้อโรคบางชนิด อาการสำคัญคือ ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายบ่อย เป็นไข้ เบื่ออาหาร ถ่ายเป็นมูกร่วมกับเลือด หรือถ่ายเป็นเลือด

·       มะเร็งลำไส้ใหญ่

ผู้ป่วยจะขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระมีเลือดปน เป็นต้น

 

มะเร็งลำไส้ใหญ่ อีกหนึ่งโรคร้ายที่ควรระวัง

                  โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคมะเร็งลำดับที่ 3 ที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยผู้ป่วยจะเริ่มรู้ว่าตนเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้จากเริ่มมีอาการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูก ปวดเบ่งถ่ายเป็นประจำ อาหารไม่ย่อย ปวดเกร็งท้อง และไม่สบายท้อง หากตรวจพบเมื่อมีระยะอาการมากแล้วจะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูง

                  ผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคจะมีอายุในช่วงตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แม้ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดอาการอย่างแน่ชัด แต่ก็พบว่าสามารถเกิดได้จากปัจจัยการเลือกรับประทานอาหารและสภาพแวดล้อม เช่น ผู้ที่มักจะรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน โดยอาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่

·       ท้องอืดเรื้อรัง ท้องอืดไม่ทราบสาเหตุ

·       ท้องผูกสลับท้องเสีย

·       อุจจาระลำเล็กกว่าปกติ

·       อุจจาระมีเลือดปน

·       รู้สึกถ่ายไม่สุด

·       น้ำหนักลดผิดปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย

·       คลำเจอก้อนในท้อง

·       มีอาการโลหิตจาง

 

วิธีการดูแลสุขภาพลำไส้

•       เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยควรเลือกรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้และธัญพืชอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นอาหารที่มีกากใยสูงและมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

•       ลดการรับประทานอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง ได้แก่

o   อาหารจำพวกเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ

o   อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก Hot Dog อาหารว่างพร้อมรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์

o   อาหารทอดหรือปิ้งย่าง โดยเฉพาะอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ หรือปิ้งย่างจนไหม้เกรียม

o   อาหารที่ขึ้นราง่าย เช่น พริกแห้ง กระเทียม และถั่วลิสง ดังนั้นก่อนรับประทานจึงควรเช็กดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีเชื้อราปนเปื้อน

o   อาหารหมักดอง

o   อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อพยาธิ จนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและกลายเป็นโรคมะเร็ง

•       ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

•       ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มีค่าดัชนีมวลกายเกินกว่ามาตรฐาน

•       งดการสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารก่อมะเร็ง หากสูบเป็นประจำต่อเนื่องก็จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น

•       หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีสารที่เข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์มะเร็ง

•       หมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคโดยไม่ตั้งตัว

 

การขับถ่ายเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันที่บางคนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนจะเริ่มหันมาสังเกตและใส่ใจกับอุจจาระมากขึ้น และจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้าเริ่มหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการรักษาสุขภาพในระยะยาว สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       รามาแชนแนล

http://bitly.ws/IQr5

·       โรงพยาบาลพญาไทย

http://bitly.ws/IQrp

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์

http://bitly.ws/IQrB

·       โรงพยาบาลศิริราช

http://bitly.ws/IQrJ

·       ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

https://bit.ly/3XV25jl

บทความสุขภาพที่สำคัญ