ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
02 ธันวาคม 2565

5 เทคนิคบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

เชื่อว่าหนึ่งปัญหาสุขภาพที่สร้างความทรมานและความรำคาญใจให้ผู้หญิงไม่น้อยคืออาการปวดประจำเดือน และมากไปกว่านั้นการปวดประจำเดือนยังเป็นสัญญาณบอกถึงความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ครั้งนี้เราจึงนำข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือน ตั้งแต่สาเหตุ ประเภท รวมไปถึงอาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์ และมากไปกว่านั้นคือการเฝ้าระวังสัญญาณเสี่ยงการเกิดโรคต่าง ๆ พร้อมด้วยเทคนิคในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน 

 

สาเหตุการปวดประจำเดือน 

อาการปวดประจำเดือนที่กวนใจผู้หญิงในช่วงนั้นของเดือน เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งสร้างให้เกิดสารออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างการมีประจำเดือน ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวและหดเกร็งจนรู้สึกได้ถึงอาการปวดบีบหรือปวดหน่วง ในบางคนอาจมีอาการปวดร้าวไปถึงบริเวณแผ่นหลัง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ 

 

ประเภทของอาการปวดประจำเดือน 

การปวดประจำเดือนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามสาเหตุ 

1. ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ เกิดจากสารพรอสตาแกลนดินในบริเวณโพรงมดลูก ซึ่งเป็นประเภทที่พบมากที่สุด  

2. ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ เกิดจากการป่วยเป็นโรค หรือมีความผิดปกติของมดลูกหรืออวัยวะในระบบสืบพันธุ์อื่น ๆ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะปากมดลูกตีบ การมีพังผืดในช่องท้อง การใส่ห่วงอนามัย เป็นต้น 

 

อาการที่ควรพบแพทย์ 

หลักสำคัญในการสังเกตคือความเปลี่ยนแปลงของอาการปวดประจำเดือน เช่น อาการปวดมีมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ รับประทานยาแล้วไม่สามารถบรรเทาหรือระงับความปวดได้ ปวดท้องน้อยในช่วงที่ไม่มีประจำเดือนหรือเวลามีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังแนะนำให้สังเกตประจำเดือน เช่น มามากกว่าปกติ มีสีเข้มกว่าปกติ และยังมีภาวะอื่น ๆ เช่น ตกขาวผิดปกติ คันบริเวณช่องคลอด ปัสสาวะขัด มีบุตรยาก 

 

ปวดประจำเดือนเรื้อรังเสี่ยงหลายโรค 

ในแง่ของความเสี่ยงการป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอาการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ซึ่งมีความรุนแรงและเรื้อรังกว่าแบบปฐมภูมิ โดยโรคที่ส่งสัญญาณบอกผู้หญิงผ่านอาการปวดประจำเดือน มีดังนี้ 

1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สังเกตได้จากอาการปวดประจำเดือนที่มากขึ้น ร่วมกับการระคายเคืองบริเวณท้องน้อย 

2. เนื้องอกมดลูก ข้อสังเกตคืออาการปวดประจำเดือนที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเนื่องจากก้อนเนื้องอก  

3. ปากมดลูกตีบ ส่งผลให้เกิดการปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ ด้วยประจำเดือนไม่สามารถไหลผ่านโพรงมดลูกได้สะดวกตามปกติ 

4. มีพังผืดในช่องท้อง เมื่อเกิดพังผืดที่ดึงรั้งมดลูก มดลูกจึงเกิดการบีบตัวจนส่งให้อาการปวดประจำเดือนมีมากขึ้น 

5. ความผิดปกติของโครงสร้างทางกายภาพในอวัยวะสืบพันธุ์ 

6. การใช้ห่วงอนามัย เป็นสาเหตุให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดพังผืด ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ 

 

5 เทคนิคบรรเทาอาการปวดประจำเดือน 

การบรรเทาอาการปวดประจำเดือนที่ผู้หญิงสามารถทำได้ คือการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันเล็ก ๆ น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การยืดเหยียดร่างกาย และการใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยลดอาการปวดได้ 

1. เลือกเมนูย่อยง่ายเป็นมื้อเช้าเพื่อความสบายท้อง พยายามหลีกเลี่ยงชา กาแฟที่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ซึ่งมีส่วนเพิ่มอาการปวดในช่องท้องมากขึ้น และควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น เพราะจะช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่จะส่งให้อาการปวดท้องประจำเดือนลดลง  

2. เลือกเมนูไฟเบอร์สูงเป็นมื้อเที่ยง นอกจากส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ยังช่วยรักษาสมดุลและลดความแปรปรวนของฮอร์โมน  

3. จิบเครื่องดื่มอุ่น ๆ ระหว่างวัน เช่น น้ำอุ่น น้ำผึ้งผสมมะนาว น้ำขิง ซึ่งมีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และเป็นผลให้กล้ามเนื้อส่วนที่ก่อให้เกิดอาการปวดประจำตัวคลายตัวลง 

4. พยายามยืดเหยียดกล้ามเนื้อในบริเวณต่าง ๆ เพื่อสร้างความผ่อนคลายโดยรวม และสามารถนวดบริเวณท้องเบา ๆ เป็นวงกลม และกดลงเล็กน้อย จะช่วยป้องกันอาการปวดประจำเดือนได้ 

5. ใช้กระเป๋าน้ำร้อนเพื่อช่วยลดอาการปวด ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายและได้ผลมายาวนาน  

 

หวังว่า 5 เทคนิคนี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องให้สาว ๆ ชาวออฟฟิศได้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญอย่าลืมสังเกตตนเอง หากอาการผิดปกติเกิดขึ้นก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่มีอาการผิดปกติแล้วไม่มั่นใจ สามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-services/telehealth 

 

แหล่งที่มาของข้อมูล 

บทความสุขภาพที่สำคัญ