สาว ๆ หลายคนน่าจะเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” มาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็อาจจะยังไม่รู้จักว่าจริง ๆ แล้วยาคุมฉุกเฉินต่างกับยาคุมกำเนิดปกติอย่างไร และมีวิธีใช้ หรือมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับยาคุมฉุกเฉินกันมากยิ่งขึ้น
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร
ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills) คือยาฮอร์โมนขนาดสูงที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบ “ฉุกเฉิน” ซึ่งในที่นี้หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่ได้คุมกำเนิด หรือเกิดการผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัยฉีกขาด ฝ่ายหญิงลืมรับประทานยาคุมกำเนิดตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป หรือแม้กระทั่งการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ยาคุมฉุกเฉินควรถูกนำมาใช้เมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรรับประทานแทนยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานสม่ำเสมอ (Oral Contraceptive Pills) เพราะยาคุมกำเนิดมีปริมาณฮอร์โมนสูงและอาจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ รวมถึงยังมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำกว่ายาคุมชนิดที่ต้องรับประทานทานแบบสม่ำเสมอ
ประเภทของยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
· ชนิดฮอร์โมนรวม – ซึ่งตัวยาสำคัญคือฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogens) ผสมกับฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน (Progestins)
· ชนิดที่มีเฉพาะฮอร์โมนโพรเจสติน (Progestin-only Emergency Contraceptive Pills) ยาชนิดนี้เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดที่ใช้กันมากในประเทศไทย
· ชนิดยาต้านโพสเจสติน (Emergency Contraceptive Pills Containing an Antiprogestin)
กลไกการทำงานของยาคุมฉุกเฉิน
หลังการมีเพศสัมพันธ์ตัวอสุจิจะสามารถอยู่รอดได้ในทางเดินระบบสืบพันธุ์นานที่สุดเป็นเวลา 5 วัน หากไข่ตกภายใน 5 วันนี้ อสุจิก็จะสามารถเกิดการปฏิสนธิกับไข่และก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี่แหละ ที่จะเข้าไปก่อกวนหรือยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ รวมไปถึงสร้างเมือกที่บริเวณปากมดลูก เพื่อไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้ อย่างไรก็ตามยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะไม่รบกวนการฝังตัวที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงไม่ใช่ยาที่ทำให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วยุติการตั้งครรภ์ได้
การออกฤทธิ์ของ Levonorgestrel ในยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์รบกวนการตกไข่โดยการยับยั้ง Luteinizing Hormone (LH) ที่พุ่งสูงมากก่อนไข่ตก จึงไปยับยั้งการเจริญของถุงไข่หรือการแตกของถุงไข่ และทำให้คอร์พัสลูเทียม (Corpus Luteum) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนไม่สามารถทำงานได้ กลไกดังกล่าวถือเป็นกลไกที่สำคัญและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนจะส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของเยื่อบุมดลูกที่จะเป็นที่ฝังตัวของตัวอ่อนในอนาคต
ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินที่คุณควรรู้ก่อนรับประทาน
เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นฮอร์โมนที่มีปริมาณสูงจึงทำให้ผู้ที่รับประทานอาจเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ดังต่อไปนี้
· รู้สึกป่วยระยะสั้น ๆ เช่น วิงเวียน หน้ามืดตาลาย อ่อนล้า ปวดหัว ปวดท้อง ปวดเต้านม
· หากมีอาการดังกล่าวต่อเนื่องกันหลายวันควรปรึกษาแพทย์
· ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ เช่น มาแบบกะปริบกะปรอย มาล่าช้า หรือมาก่อนกำหนด หากประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด 7 วันควรตรวจการตั้งครรภ์
· หากรับประทานบ่อยเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล เนื่องจากยาคุมกำเนิดมีปริมาณฮอร์โมนสูง ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดการท้องนอกมดลูกได้
· ผลการศึกษาพบว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินอาจทำให้ขาดแคลเซียมส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ในอนาคต
ปัจจัยที่ทำให้จำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉิน
· มีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน
· ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
· มีการใช้วิธีคุมกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง เช่น ถุงยางฉีกขาด รั่ว หลุด หรือใส่ไม่ถูกต้อง
· ลืมรับประทานยาคุมแบบปกติ โดยแบ่งตามชนิดได้ดังนี้
o ชนิดฮอร์โมนรวมตั้งแต่ 3 เม็ดขึ้นไป
o ชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินชนิดเดี่ยว ลืมทานเกินเวลา 3 ชั่วโมง จากเวลาเดิมที่ทานเป็นประจำ หรือเกิน 27 ชั่วโมงจากเม็ดที่ทานก่อนหน้านี้
o ชนิด Desogestrel-containing Pill (0.75 mg) ลืมทานมากกว่า 12 ชั่วโมงจากเวลาทานปกติ หรือเกิน 36 ชั่วโมงจากเม็ดที่ทานก่อนหน้านี้
· เลยกำหนดการฉีดยาคุม
o ฉีดชนิด Norethisterone Enanthate (NET-EN) และลืมฉีดมากกว่า 2 อาทิตย์
o ฉีดชนิด Depot-medroxyprogesterone Aacetate (DMPA) และลืมฉีดมากกว่า 4 อาทิตย์
o ฉีดชนิด Combined Injectable Contraceptive (CIC) และลืมฉีดมากกว่า 7 วัน
· Diaphragm or Cervical Cap หลุด ขาด หรือแตก ก่อนเอาออก
· ล้มเหลวในวิธีการหลั่งข้างนอก เช่น หลั่งในช่องคลอด หรืออวัยวะเพศด้านนอก
· คำนวณวันเว้นมีเพศสัมพันธ์พลาด ห่วงคุมกำเนิดหลุด หรือยาฝังหลุด
วิธีการรับประทานยาคุมแบบฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินที่มีขายในประเทศไทยจะมีลักษณะเป็นกล่อง กล่องละ 1 แผง แต่ละแผงประกอบไปด้วยยาคุมกำเนิด 2 เม็ด แต่ละเม็ดประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูงที่ชื่อว่า ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) เม็ดละ 750 ไมโครกรัม การรับประทานยาที่ถูกต้องคือการรับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันซึ่งไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และจะต้องรับประทานเม็ดที่ 2 หลังจากเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง หากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยาแต่ละเม็ด จะต้องรับประทานยาใหม่ และไม่แนะนำให้รับประทานยาเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่องใน 1 เดือน
การรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์และตามด้วยยาเม็ดที่สองจะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ 75% แต่หากเริ่มยาภายใน 24 ชั่วโมงจะเพิ่มประสิทธิภาพการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นได้เป็น 85% นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่ระบุว่าสามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินพร้อมกันทั้ง 2 เม็ดได้เช่นเดียวกัน โดยที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่แตกต่างกับการแยกกัน ซึ่งจะเป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดที่แรงกว่าเป็น 2 เท่า คือ มีตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลเม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม การรับประทานเพียงครั้งเดียว จะทำให้เกิดความสะดวกมากกว่าการแบ่งยารับประทาน อย่างไรก็ตามในบางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการรับประทานยาเพียงครั้งเดียวมากกว่าการแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน
· ความล่าช้าในการเริ่มต้นรับประทานยา
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินจะลดลงหากรับประทานหลัง 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ และอาจจะใช้ไม่ได้ผลเลยหากรับประทานล่าช้าเกิน 96 ชั่วโมง รวมไปถึงความล่าช้าของการรับประทานยาเม็ดที่ 2 ด้วยเช่นกัน
· ดัชนีมวลกาย (BMI)
หากมีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรือมีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตร ไปจนถึง 30 กิโลกรัม/ตารางเมตร หรือกลุ่มที่เป็นโรคอ้วนที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/ตารางเมตร ขึ้นไป จะส่งผลให้ร่างกายมีระดับ Levonorgestrel ต่ำกว่าผู้ที่ไม่อ้วน นอกจากนี้ยังรายงานบางตัวกล่าวว่าผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกายสูงเกินที่ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดนี้มีอัตราการตั้งครรภ์สูงกว่าผู้ที่ไม่อ้วน
· ยาชักนำเอนไซม์ตับ
ยาตัวนี้จะเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสภาพยาจนทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
ผู้ที่ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคหรือมีภาวะดังต่อไปนี้คือกลุ่มคนที่ไม่ควรใช้ยาคุมชนิดฉุกเฉิน
· มะเร็งของอวัยวะภายในของผู้หญิง และมะเร็งเต้านม
· โรคตับเฉียบพลันหรือตับแข็ง มะเร็งตับ
· เคยหรือเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
· ความดันโลหิตสูง
· โรคลิ่มเลือดอุดตัน
· โรคลมชัก ที่รับประทานยากันชัก
· โรคเบาหวาน ที่มีภาวะไตทำงานผิดปกติ หรือมีภาวะหลอดเลือดผิดปกติ
· อายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่จัด อ้วน และมีไขมันในเลือดสูง
· เป็นไมเกรนชนิดที่มีอาการเตือน (Migraine with Aura)
ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน
· ความเข้าใจผิดว่า “ยาคุมฉุกเฉินสามารถใช้เป็นยาทำแท้งได้”
ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง และไม่สามารถใช้เพื่อยุติการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้
· ความเข้าใจผิดว่า “ยาคุมฉุกเฉินสามารถใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศได้”
ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อได้ ดังนั้นจึงควรใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แทน
· ความเข้าใจผิดว่า “ยาคุมฉุกเฉินสามารถทำให้เทารกในครรภ์พิการ”
หากรับประทานยาคุมฉุกเฉินโดยไม่ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์ ฤทธิ์ของยาจะไม่ทำให้ทารกในครรภ์พิการ เนื่องจากไม่มีรายงานว่าพบทารกที่พิการจากการที่มารดารับประทานยาโดยที่ไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์
· ความเข้าใจผิดว่า “สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินต่อเนื่องกันแทนยาคุมชนิดรับประทานสม่ำเสมอได้”
ไม่สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินต่อเนื่องกันในระยะยาวได้ เพราะประสิทธิการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมฉุกเฉินมีน้อยกว่ายาคุมแบบปกติ
· ความเข้าใจผิดว่า “ยาคุมฉุกเฉินจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป”
ไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ และมีผลทำให้การตั้งครรภ์ครั้งถัดไปช้าลง
· ความเข้าใจผิดว่า “ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100%”
ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เต็ม 100%
ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินเป็นยาที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ การทำความเข้าใจและรู้จักวิธีใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัยจึงถือเป็นความรู้รอบตัวที่สาว ๆ ควรรู้ เมื่อถึงคราวต้องใช้ก็จะได้รับประทานได้อย่างถูกวิธีและไร้กังวล สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลรามคำแหง
https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/648
· โรงพยาบาลเปาโล
https://bit.ly/3WOcf41
· โรงพยาบาลสมิติเวช
https://bit.ly/3GmJynw
· โรงพยาบาลพญาไท
https://bit.ly/3ih8qVT
· คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
https://bit.ly/3vCVLzM
https://bit.ly/3vCVSLI
https://bit.ly/3Cn3CoM
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3jVV8yN
http://bit.ly/3DcDugG
