ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
09 กรกฎาคม 2566

เหงื่อออกเยอะ? ร่างกายเผาผลาญหรือมีภาวะเหงื่อออกมากเกินไป

เวลาทำกิจกรรมที่ต้องขยับร่างกายมาก ๆ เช่น ออกกำลังกาย ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกมามากตามไปด้วย ทำให้หลายคนเข้าใจว่ายิ่งเหงื่อออกเยอะเท่าไหร่ร่างกายก็กำลังเผาผลาญพลังงานมากเท่านั้น แต่ความจริงจะเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ วันนี้เราจะไปทำความเข้าใจเรื่องนี้พร้อมกัน

 

เหงื่อเกิดจากอะไร แล้วทำไมร่างกายต้องมีเหงื่อ

                  เหงื่อ คือ สิ่งที่เกิดจากการกระบวนการการถ่ายเทความร้อนของร่างกาย หรือที่เรียกว่ากระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) เป็นกระบวนการที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอาหารที่เรารับประทานเข้าไปให้กลายเป็นพลังงาน ซึ่งการทำงานนี้จะทำให้เกิดความร้อนขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถระบายความร้อนและสามารถควบคุมระดับความร้อนให้พอเหมาะ ร่างกายจึงขับความร้อนออกมาในรูปแบบ “เหงื่อ” นั่นเอง นอกจากกลไกการความคุมความร้อนของร่างกายตามปกติแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้ด้วย เช่น

·       การกระตุ้นจากสภาวะทางอารมณ์ เช่น โกรธ กลัว เครียด วิตกกังวล เป็นต้น

·       การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารรสจัด เครื่องดื่มคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

·       โรคประจำตัวบางชนิด

·       การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

 

เหงื่อออกเยอะ ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากจริงหรือไม่

              แม้ว่าการออกกำลังกายมากจะทำให้เหงื่อยิ่งออกมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริมาณของเหงื่อที่ไหลออกมากับจำนวนการเผาผลาญจากการออกกำลังกายแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เพราะอย่างที่เรารู้กันแล้วว่าเหงื่อของเสียที่ถูกขับออกมาจากกระบวนการการระบายความร้อนของร่างกาย เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะตัวร้อนเกินไป (Hyperthermia) ซึ่งที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ คือ ภาวะโรคลมแดด (Heat Stroke) เหงื่อจึงทำหน้าที่ปรับสมดุลเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบในร่างกายล้มเหลว ดังนั้นถึงแม้น้ำหนักจะลดลงหลังจากออกกำลังกายทันที แต่นั่นก็เป็นเพียงน้ำหนักที่หายไปเพราะปริมาณของเหงื่อที่ถูกขับออกมาเท่านั้น

                  การออกกำลังกายในระดับที่ไม่หนักมากจะทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมาเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ยังไม่เกิดความร้อนสะสมทำให้ร่างกายไม่จำเป็นต้องขับเหงื่อออกมา แต่เมื่อเริ่มออกกำลังกายหนักขึ้นร่างกายก็จะไม่สามารถแปลงพลังงานจากไขมันได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถดึงพลังงานมาใช้ได้ทันกับความต้องการ ร่างกายจึงจำเป็นต้องไปใช้พลังงานจากแป้งแทน ซึ่งการใช้พลังงานจากแป้งจะใช้เวลาน้อยกว่าไขมัน

                  เมื่อออกกำลังกายต่อเนื่องและหนักขึ้นอุณหภูมิในร่างกายก็จะยิ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่ร่างกายผลิตเหงื่อออกมา ดังนั้นความเชื่อที่ว่ายิ่งเหงื่อออกมาก ยิ่งเผาผลาญไขมันได้มากจึงมีส่วนถูกแค่บางส่วนเท่านั้น สำหรับคนที่มักจะมีเหงื่อออกมากทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสภาวะอากาศร้อน หรือขยับเขยื้อนร่างกายมาก อาจจะต้องลองสังเกตและตั้งคำถามแล้วว่าคุณกำลังมีอาการเข้าข่ายความผิดปกติที่เรียกว่า “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ” หรือไม่

 

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติคืออะไร

              ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperthydrosis)  คือ ภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมาทางผิวหนังมากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องของระบบประสาท ระดับฮอร์โมนผิดปกติ หรือผลข้างเคียงของยาบางชนิด เข้าไปกระตุ้นการผลิตเหงื่อออกมามากกว่าคนปกติถึง 3-4 เท่า เช่น แม้อาจะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็มีเหงื่อออกท่วมตัว หรือแม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่ก็มีเหงื่อออกมากเหมือนกับช่วงหน้าร้อน ซึ่งภาวะความผิดปกตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

·       กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน (Primary Hyperhydrosis) 

o   อาการ

ผู้ป่วยมักจะมีเหงื่อออกมากบริเวณมือ เท้า ศีรษะ ใบหน้า หรือรักแร้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาในปริมาณเท่า ๆ กันต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป อาจจะเกิดอาการอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรืออาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

o   สาเหตุ

ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดและไม่ใช่ผลข้างเคียงจากโรคประจำตัวอื่น ๆ แต่มีสมมติฐานว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ และมักพบในกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งอาการจะแย่ลงเมื่อมีปัจจัยร่วม เช่น การออกกำลังกาย ภาวะเครียด และความวิตกกังวล

·       กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhydrosis)

o   อาการ

ผู้ป่วยจะมีเหงื่อออกมากทั้งร่างกาย เกิดขึ้นได้ทั้งแบบฉับพลันและต่อเนื่อง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในช่วงเวลานอน และมักจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น

§  ปวดศีรษะ มีไข้

§  คลื่นไส้ น้ำหนักลด

§  หายใจไม่อิ่ม

§  หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหรือแน่นหน้าอก

§  ซึมเศร้า หลีกหนีสังคม

o   สาเหตุ

มักเกิดจากผลค้างเคียงของโรคประจำตัวต่าง ๆ เช่น

§  โรคไทรอยด์เป็นพิษ ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสูง

§  โรคเบาหวาน หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

§  โรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคปอด เอดส์

§  หัวใจขาดเลือด

§  หลอดเลือดในสมองอุดตัน

§  ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ

§  โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

§  ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะอ้วนมาก ๆ

§  หญิงตั้งครรภ์

§  หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน

§  ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น เดซิพรามีน นอร์ทริปไทลีน และโพรทริปไทลีน เป็นต้น

 

รู้ได้อย่างไรว่าเรามีภาวะเหงื่อออกมาก

              เมื่อร่างกายเริ่มแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีเหงื่อออกมากในช่วงเวลานอน หรือแม้แต่ในช่วงอากาศเย็น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยว่าอาการที่เกิดขึ้นอยู่ในขอบเขตของภาวะเหงื่อออกมากหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้วิธีวินิจฉัยดังนี้

•       ซักประวัติร่วมกับตรวจร่างกาย ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเรื่องระยะเวลา และอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย เช่น มีอาการคันตามผิวหนัง มีไข้ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือกำลังเผชิญกับความเครียดหรือไม่

•       หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายความผิดปกติที่มีปัจจัยร่วมจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจเฉพาะทางอื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นต้นเหตุของภาวะเหงื่อออกมาก

 

ภาวะเหงื่อออกเยอะ แก้ได้อย่างไร

•       หากผู้ป่วยมีภาวะเหงื่อออกมากแบบทราบสาเหตุ จะต้องรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุของความผิดปกติ หรือปรับยาที่รับประทานอยู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์

•       หากไม่ทราบสาเหตุก็จะต้องรักษาหลายวิธีร่วมกัน ซึ่งเริ่มต้นจากการ อาบน้ำ รักษาความสะอาดของร่างกายเป็นประจำก่อน สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และใช้ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อและระงับกลิ่นกาย

•       ใช้ยารักษาในกลุ่มแอนตี้โคลิเนอร์จิก

โดยให้ผู้ป่วยทาครีมที่มีส่วนผสมของไกลโคไพโรเลตเพื่อช่วยลดอาการเหงื่อออกมากบริเวณศีรษะและใบหน้า แพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยากลุ่มแอนตี้โคลิเนอร์จิกซึ่งต้องรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ซึ่งยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต้านแอซิติลโคลีนที่กระตุ้นต่อมเหงื่อและช่วยให้เหงื่อออกน้อยลง แต่ก็จะมีผลข้างเคียง คือ ปากแห้ง ตาแห้ง เวียนศีรษะ ท้องผูก ใจสั่น กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ เป็นต้น

•       การฉีดโบทอกซ์

 แพทย์อาจฉีดโบทอกซ์หรือสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ

•       การรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟ

เป็นการใช้คลื่นไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อโดยใช้เวลาในการรักษา 20-30 นาที/ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3 เดือน

•       การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส 

เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อของรักแร้ มือ หรือเท้าที่มีอาการผิดปกติโดยตรง ซึ่งส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาอย่างน้อย 2-3 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หญิงมีครรภ์ ผู้ที่ใส่เครื่องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ผู้ที่ใส่อวัยวะเทียมที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือลมชัก ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะกระแสไฟฟ้าอาจก่ออันตรายได้

•       การกำจัดต่อมเหงื่อด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ 

ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ และมีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะรักแร้ อาจใช้เครื่องดูดสุญญากาศไฟฟ้าช่วยกำจัดต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้

•       การผ่าตัดหรือการจี้ปมประสาท

หากรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล แพทย์อาจผ่าตัดจี้ทำลายปมประสาทบริเวณรักแร้ที่กระตุ้นการหลั่งเหงื่อ หรือผ่าตัดจี้ปมประสาทไขสันหลังที่กระตุ้นการหลั่งเหงื่อบริเวณมือ 

 

การออกกำลังกายเป็นประจำคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดี และถ้าอยากให้ร่างกายสามารถดึงไขมันมาเผาผลาญได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรูปร่างที่กระชับสวยงามก็ควรต้องเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับกลไกการเผาผลาญมากกว่าจะหักโหมให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเยอะ ๆ และหากร่างกายเริ่มขับเหงื่อออกมามากผิดปกติก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง

 

สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/perspire

·       โรงพยาบาลสมิติเวช
http://bit.ly/3lRbHfY

·       โรงพยาบาลพญาไท
http://bit.ly/3EtheQo

·       เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/3KwGNUo
http://bit.ly/3EtukgI
 

บทความสุขภาพที่สำคัญ