หัวใจเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์ตรงที่ว่าสามารถทำงานตลอดเวลาได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อหมุนเวียนเลือดไปทั่วทั้งร่างกาย โดยปกติหัวใจมีอัตราการเต้นที่สม่ำเสมอ แต่ถ้าเต้นเร็วเกินไปนั่นแปลว่าร่างกายอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เนื่องจากอาการนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจเต้นเร็วหรือโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ วันนี้เราจึงจะมาแชร์ความรู้เรื่องหัวใจเต้นเร็ว เกิดจากอะไร เป็นสัญญาณเตือนของโรคอะไรบ้าง
มารู้จักภาวะหัวใจเต้นเร็ว
อัตราการเต้นของหัวใจนั้นจะเปลี่ยนไปตามกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก (นั่งหรือนอนเฉย ๆ) จะอยู่ที่ 60 – 100 ครั้งต่อนาที เมื่อเราเดินหัวใจของเราจะเต้นเร็วขึ้นเป็น 100 – 120 ครั้งต่อนาที และถ้าหากเราออกกำลังกายหรือวิ่งอัตราการเต้นของหัวใจเราจะมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที ซึ่งภาวะหัวใจเต้นเร็วนั้นเป็นภาวะที่มีอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาทีในขณะพัก ทำให้เกิดอาการ หายใจไม่ทัน ใจเต้นแรง ใจสั่น รู้สึกเหนื่อย เป็นต้น และจะอันตรายมากถ้าหากมีอัตราการเต้นมากกว่า 150 ครั้งต่อนาที เพราะอาจทำให้หัวใจวายได้
ภาวะหัวใจเต้นเร็วส่งผลให้เกิดอาการอะไรบ้าง
เมื่อหัวใจเต้นเร็วเกินไปจะส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนอื่น ๆ ในร่างกายได้อย่างทั่วถึง ทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการต่อไปนี้
· รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ มีอาการใจสั่น
· เจ็บหน้าอก
· หน้ามืด เวียนศีรษะ ตาลาย อาการคล้ายจะเป็นลม
· หายใจสั้น หายใจถี่และหายใจไม่ทัน
สาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
หัวใจเต้นเร็วอาจเกิดได้หลายสาเหตุ บางสาเหตุเป็นเรื่องปกติและบางสาเหตุอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยมีสาเหตุดังนี้
· การเคลื่อนไหวร่างกายและการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน
· ยาบางชนิด เช่น ยาลดอาการคัดจมูกที่มีส่วนผสมของ ซูโดเอฟีดรีน (Pseudoephedrine) ยาปฏิชีวนะที่มีส่วนผสมของ อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ซึ่งอาการหัวใจเต้นเร็ว เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงของจากการใช้ยา
· เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นอะดรีนาลีน (Adrenaline) ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ส่วนแอลกอฮอล์นั้นทำให้หัวใจบีบตัวผิดปกติ โดยจะบีบตัวเร็วขึ้นทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นนั่นเอง
· ความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในเลือด อิเล็กโทรไลต์คือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียมและคลอไรด์ โดยแร่ธาตุเหล่านี้จะมีผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ ดังนั้นเมื่อเกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ กล้ามเนื้อหัวใจอาจหดตัวเร็วขึ้น หัวใจจึงเต้นเร็วขึ้น
· โรคไทรอยด์ – เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
· โรคที่เกี่ยวกับเลือด เช่น ความดันโลหิตสูงและต่ำ โลหิตจาง
· เครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ระบบซิมพาเทติกทำงานเพื่อปรับสภาวะร่างกายให้อยู่ในโหมดตื่นตัว ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
· อาการตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้หัวใจบีบตัวมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจจึงเพิ่มขึ้น
· สารเสพติด เช่น โคเคน เมทแอมเฟตามีน
การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นเร็ว
การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นเร็วนั้นแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่เป็นไปได้ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับอาการ เช่น ใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจถี่ เป็นลม เข้าข่ายการเป็นโรคหัวใจหรือไม่ รวมถึงตรวจด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เป็นการตรวจบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของหัวใจ การตรวจ ECG สามารถช่วยระบุประเภทของหัวใจเต้นเร็วและสาเหตุที่เป็นไปได้ โดยวัดการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram, Echocardiography) คือ การตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจจากองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนาดและรูปร่างของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ และอื่น ๆ
- การตรวจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise stress test) เป็นการตรวจที่ผู้ป่วยเดินบนสายพานหรือปั่นจักรยานในขณะที่แพทย์บันทึกกิจกรรมการเต้นของหัวใจ การตรวจด้วยการออกกำลังกายสามารถวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้ ไม่ว่าจะเป็น ภาวะหัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหัวใจเต้นเร็ว
- เหนื่อยง่าย หน้ามืด หมดสติบ่อยครั้ง
- หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย
- การเกิดลิ่มเลือดที่อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันตามจุดต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ขา แขน สมอง ปอด
- การเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
ป้องกันภาวะหัวใจเต้นเร็วได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะหัวใจเต้นเร็วคือการรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและเลือกอาหารที่อุดมด้วยธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ผลไม้ และผัก หลีกเลี่ยงโซเดียม น้ำตาล แอลกอฮอล์ และอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงคาเฟอีน หรือควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว)
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
· ใช้ยาที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจอย่างระมัดระวัง เช่น ยากลุ่ม NSAID ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน (Naproxen) เพราะยาเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของไต ที่อาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และยาลดความอ้วนบางชนิดที่มีส่วนผสมของไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งส่งผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด ควรปรึกษาแพทย์เรื่องปริมาณของยาและผลข้างเคียงก่อนจะใช้ยาเหล่านี้
· ควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล โดยช่วงระดับความดันโลหิตปกติ จะมีค่าตัวบนอยู่ที่ 90 - 119 (มม,ปรอท) ค่าตัวล่าง 60 - 79 (มม,ปรอท) ส่วนระดับคอเลสเตอรอลค่าปกติอยู่ที่ <200 ถ้าค่าความดันโลหิตและค่าคอเลสเตอรอลสูงกว่าปกติ ควรควบคุมอาหารโดยการลดโซเดียม งดแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ได้แก่ ไข่แดง หมูกรอบ หมูสามชั้น ถั่ว เนย
· ตรวจสุขภาพประจำปี
หมั่นสังเกตการทำงานของหัวใจตนเองว่ามีอัตราการเต้นที่ผิดไปจากเดิมหรือไม่ หากหัวใจมีการเต้นที่เร็วเกินค่าปกติ หรือมีอาการเจ็บหน้าอก วิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม เหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· MayoClinic
· คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
· โรงพยาบาลนครธน
· โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://bit.ly/3ZMBrdC
· โรงพยาบาลเปาโล
· WebMD
· ClevelandClinic
· Princ Hospital Suvarnabhumi
https://bit.ly/3F79mEk
· โรงพยาบาลเวชธานี
https://bit.ly/3rwB9ed
· โรงพยาบาลพญาไท
https://bit.ly/45pc4Q2
