อาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิต เพราะอาหารที่ดีมีคุณภาพจะช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารที่จำเป็นและเติมพลังงานให้ร่างกายแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันอาหารก็สามารถทำให้ร่างกายป่วยได้เช่นกัน หากเราไม่ทันระวังรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดถูกสุขลักษณะและปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป อาการป่วยนี้รู้จักกันดีในชื่อ “อาหารเป็นพิษ” โรคนี้จะเป็นยังไง แล้วเราจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับโรคนี้กันมากขึ้น
กระเพาะอาหารมีหน้าที่อย่างไร
กระเพาะอาหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบย่อยอาหาร ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการกับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเปลี่ยนให้เป็นพลังงานและดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ ส่วนที่เหลืออย่างของเสียและกากอาหาร ร่างกายก็จะขับออกมาทางทวารหนัก ซึ่งกระเพาะอาหารมีลักษณะคล้ายถุงที่มีผนังกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ทำหน้าที่เป็นจุดพักอาหารและคลุกเคล้าอาหาร และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารโมเลกุลใหญ่ให้มีขนาดเล็ก พร้อมที่จะถูกส่งต่อและไปดูดซึมที่ลำไส้เล็ก โดยภายในกระเพาะอาหารนั้นจะมีสภาวะกรด จึงสามารถทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้ กระเพาะอาหารจึงเปรียบได้กับเกราะป้องกันเชื้อโรคชั้นแรกจากอาหารนั่นเอง
โรคอาหารเป็นพิษคืออะไร
โรคอาหารเป็นพิษ หรือ Food Poisoning คือ สภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป โดยเชื้อโรคอาจปนเปื้อนจากตัวอาหารเองหรือภาชนะที่ใส่อาหารก็ได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้โดยกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือ ปวดท้อง อาการส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรง แต่หากมีอาการรุนแรงจนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ก็อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคอาหารเป็นพิษสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศร้อนอยู่เสมออย่างประเทศไทย เพราะสภาวะอากาศร้อนเป็นปัจจัยชั้นยอดที่ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ทำให้หากไม่ทันได้ระมัดระวัง ใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่สะอาดถูกสุขลักษณะก็อาจจะทำให้ต้องทรมานกับโรคนี้ได้
เชื้อโรคตัวร้าย ต้นเหตุของอาหารเป็นพิษ
อย่างที่เรารู้กันแล้วว่าโรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ซึ่งได้แก่เชื้อดังต่อไปนี้
· เชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella)
o อาหารกลุ่มที่พบ : เนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม
o อาการที่แสดง : ท้องเสีย ถ่ายมีมูก คลื่นไส้ อาเจียน และจะมีไข้ ภายในเวลา 4-7 วัน
· เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia Coli) หรืออีโคไล (E. Coli) บางสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์ Enteropathogenic E. Coli สายพันธุ์ Enterotoxic E.Coli (ETEC) และสายพันธุ์ Shiga toxin-producing E. Coli เป็นต้น
o อาหารกลุ่มที่พบ : เนื้อสัตว์ดิบ
o อาการที่แสดง : ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดมวนท้อง และอาเจียน ภายในเวลา 1-10 วัน
· เชื้อคลอสติเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อย
o อาหารกลุ่มที่พบ : อาหารที่บรรจุในภาชนะปิดสนิท อาหารกระป๋องที่มีกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง เนื้อสัตว์แปรรูป เป็นต้น
o อาการที่แสดง : อาเจียน ถ่ายท้อง ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และบางครั้งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
· เชื้อชิเกลล่า (Shigella) สามารถติดต่อผ่านกันระหว่างคนสู่คนได้จากการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง
o อาหารกลุ่มที่พบ : ผลิตภัณฑ์อาหารสด น้ำดื่มที่ไม่สะอาด
o อาการที่แสดง : คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง หลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อภายใน 7 วัน
· ไวรัสโนโร (Norovirus)
o อาหารกลุ่มที่พบ : ปนเปื้อนได้ทั้งในอาหารสด สัตว์น้ำที่มีเปลือก และน้ำดื่มที่ไม่สะอาด
o อาการที่แสดง : แสดงอาการภายใน 1-2 วัน
· ไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A)
o อาหารกลุ่มที่พบ : อาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง
o อาการที่แสดง : แสดงอาการภายใน 2-3 สัปดาห์
5 สัญญาณเตือนอาหารเป็นพิษ
· รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียนหรือถ่ายท้องติดต่อกันหลายครั้ง หรืออาจมีเลือดปน
· รู้สึกปวดท้องแบบบิดเกร็งเป็นพัก ๆ ต่อเนื่องกัน เนื่องจากการบิดตัวของลำไส้
· มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย ซึม ไม่มีแรง ปากแห้ง กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะน้อย เป็นต้น
· มีไข้สูง รู้สึกหนาวสั่น ปวดศีรษะ รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย
· รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย
