ท้องเสีย เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งอาจจะเกิดจากการทานอาหารที่ไม่สะอาด อาหารรสจัด หรือทานนม แต่ถ้าหากเราท้องเสียบ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน รวมถึงมีอาการปวดบีบที่ท้อง นั่นแปลว่าคุณมีความเสี่ยงในการเป็นโรคลำไส้อักเสบ วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาสังเกตอาการและทำความรู้จักกับโรคลำไส้อักเสบกัน
ลำไส้อักเสบคืออะไร
ลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) เป็นภาวะที่เยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดแผลและเลือดออกบริเวณผนังของลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสียบ่อย ถ่ายเป็นเลือด อาเจียน เป็นต้น ซึ่งโรคลำไส้อักเสบนี้ส่งผลเสียต่อลำไส้ระยะยาว และถ้าหากมีอาการรุนแรงก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดลำไส้อักเสบ
การเกิดโรคลำไส้อักเสบมีหลากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม มีเชื้อโรค ไวรัส และปรสิต เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ก่อให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบ นอกจากนี้โรคลำไส้อักเสบอาจเกิดได้จากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอม โดยระบบภูมิคุ้มกันต้องการที่จะกำจัดแบคทีเรียในลำไส้เพราะคิดว่าเป็นแบคทีเรียไม่ดี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมาทำลายเนื้อเยื่อภายในลำไส้ใหญ่แทน
“ความเครียด” หนึ่งในต้นตอของลำไส้อักเสบ
ภาวะความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเราได้หลากหลาย และก็เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นอาการลำไส้อักเสบ เนื่องจากเมื่อเรามีอาการเครียด เราจะรับประทานอาหารได้น้อยลง ทานไม่ตรงเวลาหรือไม่ทานเลย ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานแปรปรวน ส่งผลต่อการดูดซึมอาหารในลำไส้เล็กและการบีบตัวของลำไส้ใหญ่อีกด้วย
มาสังเกตอาการกันว่า ลำไส้อักเสบมีอาการอะไรบ้าง
· มีลักษณะของอุจจาระที่ผิดแปลกไป เช่น ถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ปนมูกเลือด หรือกลิ่นเหม็นกว่าปกติ
· มีไข้ หนาวสั่น
· ปวดท้องกะทันหันหรือปวดท้องบิดเกร็ง รวมถึงอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
· อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
· ในบางรายอาจมีอาการปวดหัว หรือปวดเมื่อยตามร่างกาย
โดยถ้าหากเช็กแล้วมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
ลำไส้อักเสบรักษาได้อย่างไร
การรักษาลำไส้อักเสบจะเป็นการรักษาตามอาการ โดยเน้นไปที่การรักษาด้วยยา เพื่อลดการอักเสบของสำไส้และควบคุมอาการให้ดีขึ้น อีกทั้งยังลดผลข้างเคียงและลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ได้ ซึ่งยาที่ใช้รักษาก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง บริเวณที่เกิดและภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วย เช่น ยาในกลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต (Aminosalicylates) ช่วยลดอาการบวมในลำไส้ มีทั้งแบบรับประทานหรือสวนทวารหนัก จะใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับบริเวณที่อักเสบ ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งมีหลายแบบ ทั้งรับประทาน ฉีด และสวนทวารหนัก ช่วยลดอาการอักเสบ และสุดท้ายยากดระบบภูมิต้านทาน (Immunomodulators) ระงับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อ่อนแอลงไม่ให้เนื้อเยื่อภายในถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา แพทย์อาจให้รับประทานยาชนิดอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ท้องเสียและยาแก้ปวด
นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งจะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบรุนแรงมากจนมีเลือดออก ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าอาจเป็นมะเร็ง หรือผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล โดยวิธีการรักษาแบบผ่าตัดสามารถแบ่งได้ 2 แบบ ได้แก่ การผ่าตัดลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงออกไป (Proctocolectomy) และการผ่าตัดต่อลำไส้ (Ileoanal Anastomosis) ที่เป็นการผ่าส่วนที่อักเสบออกและนำส่วนที่ปกติมาเชื่อมต่อกับทวารหนักเช่นเดิม
ดูแลลำไส้ได้ง่าย ๆ ด้วยการเพิ่มจุลินทรีย์
การช่วยการรักษาอีกทางหนึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร เพื่อลดการอักเสบของอาการ เช่น การรับประทานพรีไบโอติกส์ ที่พบในหอมแดง ถั่วเหลือง ผักและผลไม้ และโพรไบโอติกส์ที่พบในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นจุลินทรีย์ที่ดีช่วยลดอาการอักเสบได้ อีกทั้งการรับประทานวิตามินเอ วิตามินซี ที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ลำไส้ก็จะช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบและโรคอื่น ๆ อย่างท้องอืดและท้องผูกได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ 8 ชั่วโมง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน และลดการกินเนื้อสัตว์แปรรูป เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอาการท้องเสียบ่อย เป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นเราจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองและดูแลร่างกายของเราให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายและรับประทานอาหารครบห้าหมู่และครบมื้อ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ห่างไกลจากการเป็นโรคลำไส้อักเสบได้เป็นอย่างดี สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลนครธน
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/47lDTKd
https://bit.ly/3S1n2GZ
· Penn Medicine
· NSH
· โรงพยาบาลเปาโล
https://bit.ly/3RYq3aP
· โรงพยาบาลเพชรเวช
https://bit.ly/3tS1uEs
