ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
08 มิถุนายน 2568

สัญญาณเตือน ! ปวดท้องแบบไหนเสี่ยงเป็น “กรดไหลย้อน” ?

เวลากินอิ่ม ทานอาหารมื้อหนัก ๆ มา แล้วรู้สึกปวดท้อง แถมจุกเสียด แสบร้อนตรงลิ้นปี่บ่อย ๆ แบบนี้ ผิดปกติไหม ? อาการเหมือนเป็น “กรดไหลย้อน” อยู่หรือเปล่า ?

หากใครมีอาการแบบนี้ อย่าชะล่าใจไป เพราะถึงอาการปวดท้องจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรค “กรดไหลย้อน” โรคใกล้ตัวที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสียใหม่ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ในบทความนี้เราจึงมีวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น และข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโรค กรดไหลย้อน มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อศึกษากัน

 

โรคกรดไหลย้อน คืออะไร ?

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) คือ โรคทางเดินอาหารชนิดหนึ่ง เกิดจากภาวะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหารในปริมาณมากกว่าปกติ

 

ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยที่ไม่ได้รับการรักษา จะทำให้หลอดอาหารเป็นแผลหรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณกล่องเสียง และช่องคอ ส่งผลให้เซลล์เยื่อบุผิวหลอดอาหารมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่พัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง และในผู้ป่วยบางรายที่เกิด ภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์ (Barrett’s esophagus) หรือเป็นภาวะผิดปกติทางร่างกายชนิดหนึ่งซึ่งเกิดบริเวณหลอดอาหารที่การเรียงตัวและรูปร่างของเซลล์บริเวณผนังหลอดอาหารส่วนที่ติดกับกระเพาะอาหารผิดปกติไป อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal cancer) ได้

 

สาเหตุของโรค กรดไหลย้อน

ใคร ๆ ก็เป็นกรดไหลย้อนได้ เรามาดูปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนกัน

1.        น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน

2.        รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา

3.        รับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไปในหนึ่งมื้อ

4.        รับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที

5.        รับประทานอาหารที่มีรสจัดหรือมันจัดเป็นประจำ

6.        ดื่มสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่าง ๆ เป็นประจำ

7.        สูบบุหรี่

8.        ความเครียด

9.        การบีบตัวของหลอดอาหารมีความผิดปกติ ทำให้อาหารที่รับประทานเคลื่อนตัวลงช้า หรืออาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหารค้างอยู่ในหลอดอาหารนานกว่าปกติ

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อน

  1. หญิงตั้งครรภ์

เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง รวมถึงมดลูกที่ขยายตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ จะไปเพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารง่ายขึ้น

  1. วัยรุ่นและวัยทำงาน

ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น เครียด รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที รับประทานอาหารที่มีรสจัดหรือมันจัดเป็นประจำ รับประทานบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่มากเกินไปในหนึ่งมื้อเป็นประจำ เป็นต้น

  1. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน

เนื่องจากน้ำหนักส่วนเกินไปกดทับบริเวณช่องท้องทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณท้องยังทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารง่ายขึ้น

  1. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานทำให้กระเพาะอาหารทำงานช้าลง และย่อยอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานานขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสให้กรดไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารได้มากขึ้น

  1. ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง

โรคผิวหนังแข็งทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อในหลอดอาหารแข็งและตึง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหลอดอาหารไม่ปกติ

  1. ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด

เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า เป็นต้น

 

อาการของ กรดไหลย้อน เป็นอย่างไร ?

เรามาเช็กตัวเองกันดูดีกว่าว่า กำลังมีอาการเหล่านี้ ซึ่งเป็นอาการของโรค กรดไหลย้อน อยู่หรือไม่ ?

1.        แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ลามขึ้นมาที่หน้าอกและลำคอ และจะเป็นมากโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารมื้อหนักเสร็จ

2.        เรอมีกลิ่นเปรี้ยว

3.        มีอาหารย้อนขึ้นมาในปากและลำคอ

4.        รู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและลำคอ

5.        กลืนลำบาก คล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ

6.        ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง

7.        เสียงแหบ เจ็บคอ

8.        คลื่นไส้ อาเจียน

9.        มีเสมหะในคอตลอดเวลา

10.     ไอแห้ง เจ็บคอเรื้อรัง หอบหืด

 

หากมีอาการเหล่านี้ แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะสามารถช่วยวินิจฉัยและทำการรักษาให้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเราจะได้รับคำแนะนำที่ดีต่าง ๆ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้อาการ กรดไหลย้อน รุนแรงขึ้น หรือเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

 

วิธีป้องกันโรค กรดไหลย้อน

โรคนี้เป็นโรคที่มีมานานแล้ว และไม่ใช่โรคที่แปลกใหม่อะไร แต่ในปัจจุบันพบว่า ผู้คนมีอัตราการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเรามาดูวิธีป้องกัน เพื่อรู้เท่าทันโรค กรดไหลย้อน กันดีกว่า

  1. รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  2. รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
  3. ไม่รับประทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไปในแต่ละมื้อ
  4. ไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรอให้อาหารย่อยก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง
  5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง
  6. หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่าง ๆ
  7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  8. หาวิธีผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด
  9. หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่น
  10. พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  11. นอนตะแคงซ้าย หนุนหมอนให้สูงขึ้นเล็กน้อย

 

วิธีการวินิจฉัยและรักษาโรค กรดไหลย้อน

·       เบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยโดยสังเกตุจากอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก และจะทำการซักประวัติ เพื่อดูว่าคนไข้มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง ? ที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

·       ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการวินิจฉัยพิเศษเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร การตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร เป็นต้น

·       สุดท้ายแพทย์จะให้คำแนะนำ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อ “วิธีป้องกันโรค กรดไหลย้อน” เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ร่วมกับการให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน

·       หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล ก็อาจจะต้องใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการ ตัดเย็บหูรูดหลอดอาหาร

 

จะเห็นได้ว่าโรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด และถึงแม้จะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ซึ่งสาเหตุก็มักจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเพียงเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และใช้ชีวิตอย่างมีสติ รวมถึงดูแลร่างกายของเราให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ เราก็จะห่างไกลจากการเป็นโรค กดไหลย้อน และโรคต่าง ๆ ได้

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันสุขภาพ เพื่อดูแลตนเอง สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/ihealthy-ultra

 

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ / Siriraj Piyamaharajkarun Hospital

https://shorturl.asia/zMBDg

·       คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี / Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital

https://shorturl.asia/Xx8Bh

·       โรงพยาบาลศิครินทร์ / Sikarin Hospital

https://shorturl.asia/1lACQ

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ / Bumrungrad International Hospital

https://shorturl.asia/gz3cU

·       โรงพยาบาลกรุงเทพ / Bangkok Hospital

https://shorturl.asia/QFYJO

·       โรงพยาบาลพญาไท / Phyathai Hospital

https://shorturl.asia/Bnvfd

·       โรงพยาบาลสมิติเวช / Samitivej Hospital

https://shorturl.asia/CbFK6

 

 

 

บทความสุขภาพที่สำคัญ