เวลากินอิ่ม ทานอาหารมื้อหนัก ๆ มา แล้วรู้สึกปวดท้อง แถมจุกเสียด แสบร้อนตรงลิ้นปี่บ่อย ๆ แบบนี้ ผิดปกติไหม ? อาการเหมือนเป็น “กรดไหลย้อน” อยู่หรือเปล่า ?
หากใครมีอาการแบบนี้ อย่าชะล่าใจไป เพราะถึงอาการปวดท้องจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรค “กรดไหลย้อน” โรคใกล้ตัวที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสียใหม่ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ในบทความนี้เราจึงมีวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น และข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโรค กรดไหลย้อน มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อศึกษากัน
โรคกรดไหลย้อน คืออะไร ?
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) คือ โรคทางเดินอาหารชนิดหนึ่ง เกิดจากภาวะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหารในปริมาณมากกว่าปกติ
ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยที่ไม่ได้รับการรักษา จะทำให้หลอดอาหารเป็นแผลหรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณกล่องเสียง และช่องคอ ส่งผลให้เซลล์เยื่อบุผิวหลอดอาหารมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่พัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง และในผู้ป่วยบางรายที่เกิด ภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์ (Barrett’s esophagus) หรือเป็นภาวะผิดปกติทางร่างกายชนิดหนึ่งซึ่งเกิดบริเวณหลอดอาหารที่การเรียงตัวและรูปร่างของเซลล์บริเวณผนังหลอดอาหารส่วนที่ติดกับกระเพาะอาหารผิดปกติไป อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal cancer) ได้
สาเหตุของโรค กรดไหลย้อน
ใคร ๆ ก็เป็นกรดไหลย้อนได้ เรามาดูปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนกัน
1. น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
2. รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
3. รับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไปในหนึ่งมื้อ
4. รับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที
5. รับประทานอาหารที่มีรสจัดหรือมันจัดเป็นประจำ
6. ดื่มสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่าง ๆ เป็นประจำ
7. สูบบุหรี่
8. ความเครียด
9. การบีบตัวของหลอดอาหารมีความผิดปกติ ทำให้อาหารที่รับประทานเคลื่อนตัวลงช้า หรืออาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหารค้างอยู่ในหลอดอาหารนานกว่าปกติ
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อน
- หญิงตั้งครรภ์
เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง รวมถึงมดลูกที่ขยายตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ จะไปเพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารง่ายขึ้น
- วัยรุ่นและวัยทำงาน
ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น เครียด รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที รับประทานอาหารที่มีรสจัดหรือมันจัดเป็นประจำ รับประทานบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่มากเกินไปในหนึ่งมื้อเป็นประจำ เป็นต้น
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
เนื่องจากน้ำหนักส่วนเกินไปกดทับบริเวณช่องท้องทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณท้องยังทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารง่ายขึ้น
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานทำให้กระเพาะอาหารทำงานช้าลง และย่อยอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานานขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสให้กรดไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารได้มากขึ้น
- ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง
โรคผิวหนังแข็งทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อในหลอดอาหารแข็งและตึง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหลอดอาหารไม่ปกติ
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า เป็นต้น
อาการของ กรดไหลย้อน เป็นอย่างไร ?
เรามาเช็กตัวเองกันดูดีกว่าว่า กำลังมีอาการเหล่านี้ ซึ่งเป็นอาการของโรค กรดไหลย้อน อยู่หรือไม่ ?
1. แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ลามขึ้นมาที่หน้าอกและลำคอ และจะเป็นมากโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารมื้อหนักเสร็จ
2. เรอมีกลิ่นเปรี้ยว
3. มีอาหารย้อนขึ้นมาในปากและลำคอ
4. รู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและลำคอ
5. กลืนลำบาก คล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ
6. ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง
7. เสียงแหบ เจ็บคอ
8. คลื่นไส้ อาเจียน
9. มีเสมหะในคอตลอดเวลา
10. ไอแห้ง เจ็บคอเรื้อรัง หอบหืด
หากมีอาการเหล่านี้ แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะสามารถช่วยวินิจฉัยและทำการรักษาให้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเราจะได้รับคำแนะนำที่ดีต่าง ๆ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้อาการ กรดไหลย้อน รุนแรงขึ้น หรือเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
วิธีป้องกันโรค กรดไหลย้อน
โรคนี้เป็นโรคที่มีมานานแล้ว และไม่ใช่โรคที่แปลกใหม่อะไร แต่ในปัจจุบันพบว่า ผู้คนมีอัตราการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเรามาดูวิธีป้องกัน เพื่อรู้เท่าทันโรค กรดไหลย้อน กันดีกว่า
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
- ไม่รับประทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไปในแต่ละมื้อ
- ไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรอให้อาหารย่อยก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่าง ๆ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- หาวิธีผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- นอนตะแคงซ้าย หนุนหมอนให้สูงขึ้นเล็กน้อย
วิธีการวินิจฉัยและรักษาโรค กรดไหลย้อน
· เบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยโดยสังเกตุจากอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก และจะทำการซักประวัติ เพื่อดูว่าคนไข้มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง ? ที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
· ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการวินิจฉัยพิเศษเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร การตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร เป็นต้น
· สุดท้ายแพทย์จะให้คำแนะนำ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อ “วิธีป้องกันโรค กรดไหลย้อน” เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ร่วมกับการให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน
· หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล ก็อาจจะต้องใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการ ตัดเย็บหูรูดหลอดอาหาร
จะเห็นได้ว่าโรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด และถึงแม้จะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ซึ่งสาเหตุก็มักจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเพียงเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และใช้ชีวิตอย่างมีสติ รวมถึงดูแลร่างกายของเราให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ เราก็จะห่างไกลจากการเป็นโรค กดไหลย้อน และโรคต่าง ๆ ได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันสุขภาพ เพื่อดูแลตนเอง สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/ihealthy-ultra
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ / Siriraj Piyamaharajkarun Hospital
· คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี / Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital
· โรงพยาบาลศิครินทร์ / Sikarin Hospital
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ / Bumrungrad International Hospital
· โรงพยาบาลกรุงเทพ / Bangkok Hospital
· โรงพยาบาลพญาไท / Phyathai Hospital
· โรงพยาบาลสมิติเวช / Samitivej Hospital
