แม้จะเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า ‘ผู้ติดเชื้อ HIV’ กับ ‘ผู้ป่วยเอดส์’ มีความแตกต่างกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังคงเข้าใจว่าทั้งสองโรคคือความเจ็บป่วยแบบเดียวกัน ดังนั้นเราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง ‘HIV’ กับ ‘เอดส์’ ผ่านบทความนี้
ความต่างระหว่าง HIV กับ เอดส์
ก่อนจะทราบถึงความแตกต่างของ HIV กับเอดส์ เราต้องทำความรู้จักกับไวรัสชื่อ HIV (Human Immunodeficiency Virus: HIV) เป็นอันดับแรก ไวรัสชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง อาการหลังรับเชื้อมีลักษณะคล้ายเป็นไข้หวัดและจะหายไปได้เอง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกายหากไม่ได้รับการตรวจโดยละเอียด ในกรณีที่ได้รับยาต้านไวรัสและยาที่ช่วยชะลอโรคแทรกซ้อนได้ทันเวลา ผู้ติดเชื้อจะสามารถใช้ชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปได้ แต่หากไม่ได้รับการตรวจและรับยาอย่างถูกต้องแต่เนิ่น ๆ เชื้อไวรัสเอชไอวีจะพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้
ส่วนโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) คืออาการป่วยขั้นสูงสุดของการติดเชื้อ HIV โดยเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและเกิดการกระจายตัว ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ที่แทรกซ้อนเข้ามาได้
ดังนั้นความแตกต่างสำคัญของ HIV กับเอดส์ จึงอยู่ที่การทำงานของระบบภูมิคุมกัน โดยผู้ติดเชื้อ HIV ยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาอยู่ในระดับที่สามารถสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ แต่ผู้ป่วยเอดส์จะอ่อนไหวต่อการป่วยอย่างมาก ด้วยภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถทำงานได้เหมือนก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะของโรคนี้
3 ระยะหลังการติดเชื้อ HIV
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเชื้อ HIV ติดต่อได้อย่างไร เชื้อ HIV ติดต่อผ่านทางของเหลวในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเลือด น้ำจากช่องคลอด น้ำอสุจิ รวมถึงน้ำนมแม่ โดยผู้ติดเชื้อมักได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ใช้เข็มฉีดยาหรือเข็มสักที่มีเชื้อ รวมถึงแม่สู่ลูก ทั้งผ่านทางน้ำนมและเลือด หากคุณแม่มีเชื้อ HIV ขณะตั้งครรภ์และไม่ได้กินยาต้านเชื้อ HIV ในส่วนของน้ำลายนั้นจะไม่มีเชื้อ HIV อยู่ ยกเว้นว่าผู้ป่วยจะมีแผลในปากที่ทำให้มีเลือดออก อาจทำให้มีโอกาสเสี่ยงแต่ก็เสี่ยงน้อยมาก เมื่อร่างกายได้รับเชื้อแล้วสามารถแบ่งระยะของเชื้อ HIV ได้ 3 ระยะ โดยแบ่งจากปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันหรือ CD4 ซึ่งวัดได้จากการตรวจเลือด โดย 3 ระยะของการติดเชื้อมีดังนี้
1. ระยะเฉียบพลัน หรือระยะเริ่มแรกติดเชื้อ มีปริมาณ CD4 มากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร นับเป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ เป็นระยะที่เชื้อแพร่ในร่างกายอย่างรวดเร็วและสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย โดยผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายโรคหวัด เช่น เจ็บคอ ไข้ ปวดหัว ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ มีผื่นขึ้น โดยเป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองกับเชื้อ HIV
2. ระยะอาการ หรือระยะอาการสงบทางคลินิก ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ โดยในเลือดจะมีปริมาณ CD4 ระหว่าง 200-500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เป็นระยะที่มีเชื้อแต่ร่างกายไม่แสดงอาการ เพราะมีอัตราการเพิ่มจำนวนเชื้อต่ำ ทำให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ในระยะนี้ได้นานถึง 10 ปีก่อนเข้าสู่ระยะถัดไป
3. ระยะเอดส์ หรือระยะเอดส์เต็มขั้น มักมีปริมาณ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ระยะนี้ผู้ป่วยจะเข้าสู่การป่วยเป็นโรคเอดส์ โดยร่างกายจะสูญเสียภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายและรักษาได้ค่อนข้างยากเนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อเดิมซ้ำ ๆ หรือติดเชื้อหลายชนิดพร้อมกัน ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการของผู้ป่วยในระยะแรกมีอาการที่คล้ายโรคอื่น ๆ ส่วนในระยะที่สองไม่แสดงอาการ ดังนั้นมีโอกาสสูงมากที่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ากำลังมีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย ผู้ป่วยจะสามารถตรวจเช็กได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีโอกาสได้รับเชื้อตรวจหา HIV
ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อ HIV
การตรวจหาเชื้อ HIV ทำได้ด้วยการเจาะเลือด เพื่อตรวจหาปริมาณของ 3 สิ่งในร่างกาย คือ
1. CD4 การตรวจหาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อให้ทราบถึงความเสียหายที่เกิดจากการเข้าโจมตีของไวรัส HIV
2. VL (Viral Load) การตรวจหาปริมาณไวรัส HIV
3. NAT (Nucleic Acid Test) การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส HIV
แนวทางการรักษาโรคติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์
ปัจจุบันยังไม่มียาหรือการรักษาใดที่สามารถกำจัดไวรัส HIV ให้หมดไปจากร่างกายได้ แต่สิ่งที่ช่วยผู้ป่วยในทุกวันนี้ได้คือ ยาต้าน HIV หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) โดยหากผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับยาเร็วเท่าใด ก็จะสามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อได้มากเท่านั้น เพราะตัวยาจะช่วยยังยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ และหากใช้ยาอย่างต่อเนื่องและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็จะสามารถห่างไกลจากโรคเอดส์ได้ตลอดชีวิต
ส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสทันทีหรือช้าเกินไป มีโอกาสเข้าสู่ภาวะของโรคเอดส์สูง ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคหรือโรคต่าง ๆ ได้ ด้วยภูมิต้านทานที่มีอยู่น้อยมาก สิ่งที่ยังคงทำได้คือการรักษาตามอาการป่วยที่เกิดขึ้นโดยแพทย์เฉพาะทางในด้านนั้น ๆ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเอดส์
โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเอดส์สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายระบบของร่างกาย เนื่องจากภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม เช่น การติดเชื้อรา เชื้อไซโตเมกะโลไวรัส เชื้อแบคทีเรีย การป่วยเป็นวัณโรค โรคปอดอักเสบ โรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคทางจิตเวชอีกด้วย เช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น
ดีที่สุดสำหรับการป้องกันทั้งโรคติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ คือการรู้เท่าทันตนเอง เมื่อมีภาวะเสี่ยงเกิดขึ้น ต้องรีบตรวจหาเชื้อ HIV โดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการพัฒนาของเชื้อไปสู่โรคเอดส์ โดยในปัจจุบันมียา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ที่ใช้รับประทานก่อนมีโอกาสสัมผัสเชื้อเอชไอวี และยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ที่ใช้รับประทานฉุกเฉินหลังการรับเชื้อเอชไอวี เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคทั้ง 2 ชนิดนี้
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถอ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue039/health-station
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2016/hiv-aids-infection-treatment
· โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
https://bit.ly/3SqEdkG
· โรงพยาบาลเพชรเวช
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/hiv_aids
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3zvarT5
https://bit.ly/3pb0w0h
https://bit.ly/3AWKEF4
