เมื่อพูดถึงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทุกคนก็จะคิดว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อโดยตรง แต่จริง ๆ แล้วอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีสาเหตุมาจาก 1 ใน 2 ของโรค Myasthenia Gravis และ Amyotrophic Lateral Sclerosis ซึ่งถึงแม้ในภาษาไทยจะเรียกว่า “โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง” เหมือนกัน แต่สาเหตุและอาการจะมีลักษณะแตกต่างกัน และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดร่วมกัน วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักความเหมือนและความแตกต่างของโรคที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อทั้ง 2 ชนิดกัน
มารู้จักกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis หรือ MG จัดเป็นโรคภูมิแพ้ร่างกายชนิดเรื้อรัง เกิดขึ้นจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อขาดการติดต่อระหว่างกัน จนทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการอ่อนแรงหรือกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเกิดได้กับกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกาย
ในขณะที่โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Amyotrophic Lateral Sclerosis หรือ ALS เกิดจากการความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง แล้วส่งผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากขาดเซลล์ประสาทนำคำสั่งมาควบคุม ซึ่งเซลล์เหล่านั้นที่อยู่ในสมองและไขสันหลังจะเกิดการเสื่อมและค่อย ๆ ตายไปในที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้ง 2 ชนิดนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร แต่มีการสันนิษฐานว่า เกิดจากต่อมไทมัส (Thymus Gland) ที่อยู่บริเวณหน้าอกของมนุษย์ อาจสัมพันธ์กับการผลิตโปรตีนแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อ
โรคนี้มีโอกาสที่จะสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ในขณะตั้งครรภ์ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
สัญญาณเตือนของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ได้เลยว่า ร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังจะมีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยให้เร็วที่สุด
· กล้ามเนื้อที่แขน ขา รู้สึกอ่อนแรง เช่น ยกแขนไม่ขึ้นเหนือศีรษะ กำมือไม่ได้
· ข้อมือหรือข้อเท้าตก
· เดินแล้วสะดุดหรือล้มบ่อย ขึ้นบันไดลำบาก
· นั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้นลำบาก
· มีอาการกลืนลำบาก หรือเสียงเปลี่ยน
· มีอาการกล้ามเนื้อลีบ หรือกล้ามเนื้อกระตุก
· อาการจะเริ่มแสดงออกมาเล็กน้อย และเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด MG และ ALS ถึงแม้จะมีชื่อเรียกในภาษาไทยเหมือนกัน แต่ก็จัดว่าเป็นโรคที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดอาการแยกตามชนิดของโรคได้ดังต่อไปนี้
· หนังตาตก ข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง เป็นอาการแรกที่สังเกตได้
· เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด อาการจะดีขึ้นเมื่อหลับตาข้างใดข้างหนึ่งลง
· พูดเสียงขึ้นจมูก หรือเสียงเบาลง
· กลืนอาหารลำบาก และสำลักอาหารได้ง่าย
· เคี้ยวอาหารแล้วรู้สึกเหนื่อยกล้ามเนื้อปาก เพราะกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนแรง
· การแสดงออกทางสีหน้าเปลี่ยนไป เช่น ยิ้มได้น้อยลง ยิ้มแล้วเหมือนกำลังยิงฟัน เนื่องจากไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้
· คออ่อนแรง คอเอียง ตั้งศีรษะหรือชันคือลำบาก
· ขาอ่อนแรง ทำให้เดินเหินได้ลำบาก เดินเตาะแตะ
· หายใจลำบาก เกิดการหายใจล้มเหลว เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจอ่อนแอ โดยเฉพาะเมื่อกำลังนอนราบหรือหลังออกกำลังกาย
อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด ALS จะเริ่มจากมีอาการอ่อนแรงที่มือ เท้า แขน ขาข้างใดข้างนึง ก่อนจะพบอาการตามบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาการที่แสดงออกมา ได้แก่
· เดินหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ลำบาก
· สะดุดหรือล้มบ่อยกว่าคนทั่วไป
· มือไม่มีแรง จับวัตถุไม่อยู่
· พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
· กล้ามเนื้อกระตุกหรือเป็นตะคริวบริเวณแขน หัวไหล่ และลิ้น
· กลืนอาหารลำบาก
· ร้องไห้ หัวเราะ หรือหาว แบบผิดกาลเทศะ
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรักษาหายหรือไม่
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้ง 2 ชนิดยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น โดยแพทย์จะเลือกรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ เพื่อควบคุมหรือป้องกันอาการของโรคไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต
· โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด MG
o จ่ายยาให้รับประทาน
เช่น ยาไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานกันระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น
o ผ่าตัดต่อไทมัส
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปเรื่องความสัมพันธ์ของของการเกิดโรคกับต่อไทมัสที่ชัดเจน แต่การผ่าตัดต่อมไทมัสออกจากร่างกาย สามารถบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้
o เปลี่ยนถ่ายน้ำเหลืองหรือพลาสมา (Plasmapheresis)
เป็นการกรองน้ำเหลือง หรือส่วนที่เป็นของเหลวของเลือด เพื่อกำจัดแอนติบอดีที่ขัดขวางการทำงานระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
o ให้อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ทางหลอดเลือดดำ
เป็นการให้อิมมูโนโกลบูลินหรือแอนติบอดี เพื่อปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยผลของการรักษาจะวิธีนี้จะคงอยู่ประมาณ 3-6 สัปดาห์
· โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด ALS
o จ่ายยาให้รับประทาน
เช่น เอดาราโวน (Edaravone) ทางปากหรือหลอดเลือด เพื่อชะลอความรุนแรงของโรค แต่ยานี้ไม่สามารถทำให้หายขาดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS ได้
o ทำกายภาพบำบัด
รวมทั้งให้ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ทำกิจวัตรชีวิตประจำวันด้วยตัวเองได้ ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อด้วย
o วางแผนเรื่องอาหาร
เพื่อป้องกันและรับมือกับอาการกลืนอาหารลำบาก ทั้งนี้แพทย์อาจเลือกใส่สายอาหารทางหน้าท้องให้กับผู้ป่วยบางราย
o ทำอรรถบำบัด
หรือการบำบัดทางการพูด เพื่อช่วยในการพูดคุยสื่อสารกับผู้อื่นได้ แม้ว่ากล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูดจะอ่อนแรงลงก็ตาม
การวินิจฉัยและการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
• การตรวจระบบประสาท
ด้วยการทดสอบการตอบสนอง กำลังความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกจากการสัมผัส การทรงตัว หรือการมองเห็น เป็นต้น
• การตรวจเลือด
แพทย์จะตรวจนับจำนวนของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมากผิดปกติ ส่วนมากจะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
• การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test)
ทำได้ 2 วิธี คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำ ๆ เพื่อดูการทำงานของมัดกล้ามเนื้อ โดยการติดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่พบอาการอ่อนแรง และส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อตรวจสอบความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)
• Edrophonium Test หรือ Tensilon Test
การฉีด Edrophonium Chloride โดยปกติกล้ามเนื้อหดตัวทำงานจากการที่สารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ไปจับตัวรับที่กล้ามเนื้อ จากนั้นจะมีกระบวนการที่ทำให้แอซิติลโคลีนปล่อยจากตัวรับที่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว การฉีด Edrophonium จะไปยับยั้งขั้นตอนการปล่อยตัวจากตัวรับ ทำให้แอซิติลโคลีนเกาะตัวกับตัวรับนานขึ้นจึงทำให้กล้ามเนื้อยังคงทำงานหดตัวได้นานขึ้น ไม่เกิดอาการอ่อนแรง แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปัญหาการเต้นของหัวใจและการหายใจ แพทย์จะวินิจฉัยด้วยวิธีนี้ก็ต่อเมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจเลือดและการตรวจด้วยไฟฟ้า ทำโดยแพทย์ประสาทวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญและมีอุปกรณ์ครบครัน จึงเป็นผลให้แพทย์ไม่นิยมวินิจฉัยด้วยวิธีนี้
• การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography) หรือ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อหาเนื้องอกหรือความผิดปกติที่บริเวณต่อมไทมัส
• การทดสอบการทำงานของปอด (Pulmonary Function Tests)
เพื่อประเมินสภาพการทำงานของปอดและการหายใจ
• Ice Pack Test (เป็นการทดสอบเสริม)
เป็นการทดสอบเสริม โดยแพทย์จะนำถุงน้ำแข็งมาวางในจุดที่มีอาการตาตกเป็นเวลา 2 นาที และวิเคราะห์การฟื้นตัวจากหนังตาตกเพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป
ภาวะแทรกซ้อน
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้ง 2 ชนิดสามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ แต่หากไม่ได้เข้ารับการรักษาได้ทันเวลา ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น
- ภาวะหายใจล้มเหลว (Myasthenic Crisis)
เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ควบคุมการหายใจอยู่ในภาวะอ่อนแอ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง
- เนื้องอกที่ต่อมไทมัส
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ประมาณ 15% ในผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroid)
หรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid) ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมที่อยู่บริเวณด้านหน้าของลำคอ มีหน้าที่หลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ หากเกิดการแทรกซ้อนของภาวะพร่องไทรอยด์ ผู้ป่วยจะมีอาการขี้หนาว น้ำหนักขึ้น ส่วนในผู้ป่วยที่มีการแทรกซ้อนของภาวะไทรอยด์เป็นพิษ จะมีอาการขี้ร้อน น้ำหนักลดลง
- มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอื่น ๆ
เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรดเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus) หรือที่รู้จักในชื่อโรคพุ่มพวง
กล้ามเนื้ออ่อนแรงป้องกันได้อย่างไร
• ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อป้องกันและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง
• พักผ่อนให้เพียงพอ
• เลือกรับประทานอาหารที่มีสารแอนตี้ออกซิเดนหรือสารต้านอนุมูลอิสระและแคทินอยด์ ที่พบได้มากในผัก ผลไม้สีเหลือง ส้ม และแดง เช่น บร็อคโคลี่ แครอท พริกหวาน เป็นต้น
แม้จะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้ง 2 ชนิดแต่ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการเลือกรับประทานอาหารที่สารต้านอนุมูลอิสระ เพราะอาหารที่มีประโยชน์ก็คือยาวิเศษที่แท้จริงนั่นเอง สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดการบริการด้านสุขภาพ(KTAXA Health) เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/HealthServices
แหล่งที่มาของข้อมูล
· เว็บไซต์ Tha Asian parent
· เว็บไซต์ Pobpad
http://bitly.ws/DS3Q
· โรงพยาบาลศิครินทร์
http://bitly.ws/DS3T
· โรงพยาบาลเมดพาร์ค
http://bitly.ws/DS3Z
· โรงพยาบาลวิภาวดี
http://bitly.ws/DS46
· โรงพยาบาลพญาไท
http://bitly.ws/DS4c
· โรงพยาบาลราชวิถี
http://bitly.ws/DS4h
· เว็บไซต์ Hellokhunmor
http://bitly.ws/DS4j
