ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักมากับอากาศร้อนหรือความอับชื้น นั่นก็คือเชื้อรา โดยเฉพาะความอับชื้นบนร่างกายอย่างบริเวณขาหนีบที่อาจจะก่อให้เกิดโรคผิวหนังอย่างโรคสังคังขึ้นได้ ถึงจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็สร้างความทรมานได้ไม่น้อย วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักโรคสังคังและวิธีป้องกันไปพร้อมกัน
โรคสังคังเกิดจากอะไร
โรคสังคัง (Tinea Cruris) เกิดจากเชื้อราในกลุ่มเดอมาโทไฟต์ (Dermatophyte) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อยู่ตามผิวหนัง เล็บและเส้นผมของมนุษย์ซึ่งโดยปกติจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่หากผิวหนังมีความอับชื้นสูงบ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อราได้ เนื่องจากความชื้นเป็นปัจจัยให้เชื้อราชนิดนี้เติบโตได้ดี โรคนี้จะเกิดบ่อยในบริเวณผิวหนังที่มีความอับชื้อสูง เช่น ขาหนีบ ต้นขา และอาจลามมาบริเวณอวัยวะเพศด้วย ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้มากกว่าในเพศชายโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น
สาเหตุของโรคสังคัง
โรคสังคังมักจะเกิดจากการที่เราสวมเสื้อผ้าเปียกชื้น ไม่สะอาดหรือผิวหนังสัมผัสความชื้นต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน รวมไปถึงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ที่ติดเชื้ออยู่แล้ว อย่างเช่น ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานก็มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้ง่ายเช่นเดียวกัน
เมื่อผิวหนังสัมผัสกับความชื้นบ่อย ๆ เชื้อราชนิดนี้ก็จะเจริญเติบโตได้ดีจนส่งผลให้เกิดการติดเชื้อตามมา โดยเฉพาะผิวส่วนที่ที่อับชื้นและมีอุณหภูมิสูง อีกทั้งยังอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำ เปียกชื้น ไม่สะอาด หรือผิวหนังสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานาน ซึ่งโดยส่วนมาก บริเวณขาหนีบ ต้นขาด้านใน ก้น มือ และเท้า จะพบได้บ่อย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้ง่าย เช่น
- ไม่รักษาความสะอาดของร่างกาย ไม่ค่อยอาบน้ำหรือใส่เสื้อผ้าซ้ำ ๆ ที่มีเหงื่อหรือความชื้นหมักหมม
- เป็นคนที่เหงื่อออกง่าย
- ปัญหาสุขภาพ เช่น ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ภาวะเหงื่อออกมาก น้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือโรคที่ทำให้เกิดเหงื่อและมีพื้นที่อวัยวะที่เกิดการเสียดสีมากกว่าคนปกติ
- สัมผัสเสื้อผ้าที่มีเชื้อรา หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นที่ติดเชื้อ เช่น ชุดชั้นใน ชุดกีฬา ผ้าเช็ดตัว กรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น
อาการของโรคสังคัง
- เกิดผื่นแดงบริเวณที่ติดเชื้อ ลักษณะผื่นมีขอบขึ้นชัดเจน อาจจะเป็นแผ่นหรือเป็นวงก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อรา
- บางกรณีอาจพบว่าผิวแตก ลอก หรือเป็นขุย
- ลักษณะการกระจายตัวจะเป็นรูปวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยว
- ผู้ป่วยจะรู้สึกคันตลอดเวลาร่วมกับอาการแสบร้อน
- อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นเมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เพิ่มเหงื่อและความอับชื้น
วิธีการรักษาและวิธีการป้องกัน
- ทายาต้านเชื้อราตามปริมาณและระยะเวลาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรสั่งอย่างเคร่งครัด
- ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่ติดเชื้อ ควรให้ผิวหนังแห้งสนิทอยู่เสมอ
- เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในทุกวัน
- สวมเสื้อที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป
- รักษาอาการป่วยที่เกิดจากเชื้อราชนิดอื่น ๆ ให้หายขาด เช่น โรคน้ำกัดเท้า เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า เป็นต้น
- ทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำทุกวัน
โดยยาในการรักษาสังคังแบ่งออกเป็นสองประเภท โดยแบ่งออกเป็นชนิดทาและชนิดรับประทาน
- ยาประเภททาผิวหนัง เป็นยาทาผิวหนังที่ใช้รักษาสังคังจะมีทั้ง ครีม โลชั่น และสเปรย์ แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักจะเป็นยารูปแบบครีม โดยแพทย์มักแนะนำให้ทายาบาง ๆ วันละ 1–2 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยตัวอย่างยาทาผิวหนังเพื่อต้านเชื้อรา เช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ยาไมโคนาโซล (Miconazole) ยาอีโคนาโซล (Econazole) ยาโคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ยาเทอร์บินาฟีน (Terbinafine) ยาแนฟทิไฟน์ (Naftifine) ยาอันดีไซลินิกแอซิด (Undecylenic Acid)
- ยาประเภทรับประทาน โดยยารับประทานจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาทา ผู้ป่วยติดเชื้อราเป็นบริเวณกว้างจนเป็นเรื้อรัง ซึ่งต้องจ่ายยาโดยแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากยารับประทานเป็นยาที่มีผลข้างเคียงและใช้ระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกัน โดยชนิดของยาที่แพทย์มักใช้ เช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) และกริซีโอฟูลวิน (Griseofulvin) เป็นต้น
หรืออาจจะรักษาทางเลือก โดยการใช้สมุนไพร โดยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกลากเกลื้อนมีดังนี้
- กระเทียม ฝานกระเทียมแล้วนำมาถูบ่อย ๆ หรือตำคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็น
- ข่าแก่ โดยนำมาล้างให้สะอาด ฝานเป็นแว่นบาง ๆ ทำความสะอาดบริเวณที่เป็น
- ชุมเห็ดเทศ ใช้ใบสดขยี้ หรือตำให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหัวกระเทียมเท่า ๆ กัน ผสมปูนแดงแล้วทาบริเวณที่เป็นกลาก
- พลู นำใบพลูสดมาล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมแอลกอฮอล์ หรือเหล้าขาว แล้วใช้น้ำคั้นทาบริเวณที่เป็น
ความแตกต่างระหว่างกลากเกลื้อนและสังคัง
ลักษณะของโรคกลากที่ผิวหนังคือ ผิวหนังบริเวณนั้นจะแดง มีสะเก็ดบาง ๆ ขาว ๆ ที่มักจะเรียงกันเป็นวง ๆ และมักจะหายตรงกลางก่อน แต่ขอบจะขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ โดยขอบของวงมักจะเป็นตุ่มนูนแข็งเหมือนตุ่มจำนวนมาก หรือเป็นตุ่มนูนมีน้ำอยู่ข้างในเรียงอยู่รอบ ๆ มีอาการคันยุบยิบ คนที่เป็นจะเกาทำให้ตุ่มใสนี้แตกและกลายเป็นขุยขาว ๆ อยู่รอบ ๆ ขอบ จนไปถึงขั้นอักเสบได้
โดยกลากเกลื้อนเกิดได้หลายแห่งบนร่างกาย ที่พบบ่อยคือ ช่องหูส่วนนอก ใบหู หน้า ซอกพับของร่างกายบริเวณรักแร้ ขาหนีบ และซอกนิ้วเท้า จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามบริเวณที่เป็น เช่น ถ้าเป็นที่ง่ามนิ้วเท้า เรียกว่า ฮ่องกงฟุต, ถ้าเป็นที่ขาหนีบ เรียกว่า สังคัง ดังนั้นแปลว่าสังคังก็คือกลากเกลื้อนประเภทหนึ่งนั่นเอง ไม่เพียงแค่นั้น กลากไม่ได้ขึ้นแค่ผิวหนังแต่กลากสามารถขึ้นที่เล็บได้เช่นกัน สามารถขึ้นได้ทั้งมือทั้งเท้า โดยส่งผลให้เล็บมีสีขุ่น ขาวปนเหลือง หนาขึ้น ผิวเล็บขรุขระ ไม่เรียบ เล็บจะเปราะ หักง่าย และเกิดขึ้นจากปลายเล็บลามไปถึงต้นเล็บได้
นอกจากนั้นมีโรคอื่นที่อาจดูคล้าย กลากเกลื้อน มากจนอาจจะเข้าใจผิดได้ เช่น
- กลากน้ำนม ถึงแม้จะชื่อว่ากลาก แต่เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) พบได้บ่อยในเด็ก โรคนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อรา มักขึ้นบริเวณแก้มหรือหน้าผาก สามารถหายได้เอง
- โรคด่างขาว โรคนี้เกิดจากเซลล์ผิวหนังบางส่วนไม่สร้างเม็ดสีตามปกติ ทำให้ผิวดูมีรอยด่างที่สีไม่เนียนกลมกลืนกัน โดยสามารถแก้ไขได้ ด้วยการสักรักษา ดังนั้นเมื่อมีรอยด่างขาวที่ผิวก็อย่าวินิจฉัยเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างตรงจุด
- ลมพิษ จะมีตุ่มนูน ๆ ขอบหยัก ๆ พร้อมกันหลายแห่ง มักเกิดขึ้นทันทีหลังสัมผัสสิ่งที่แพ้ โดยอาการจะค่อยๆทุเลาลง หรือกินยาแก้แพ้ก็ช่วยได้
- ผื่นแพ้ จะมีอาการเป็นตุ่มแดง ๆ ถ้าเป็นที่ง่ามนิ้วเท้า มักเกิดจากการแพ้รองเท้า ถุงเท้า หรือแพ้เหงื่อ อาจจะมีลักษณะคล้ายโรคกลาก แต่ถ้าใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (Steroid) แล้วโรคกลับลุกลามก็วินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคกลาก เพราะเป็นผื่นแพ้จะรักษาด้วยครีมที่มีส่วนประกอบสเตียรอยด์ (Steroid) ไม่ได้ผล
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
โดยปกติโรคนี้จะมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้น้อย แต่ก็อาจเกิดได้กับผู้ป่วยบางราย เช่น ผื่นจะแพร่กระจายไปตามบริเวณใกล้เคียง เช่น ขาหนีบ ต้นขา และอวัยวะเพศ และอาจเกิดการติดเชื้อจากการเกาหรือถูผิวหนังจนเกิดการระคายเคือง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝีหรือเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบตามมาได้
สภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทยจัดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสังคังได้ง่าย เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หมั่นรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงหารใช้ส่วนตัวของร่วมกับผู้อื่น ก็ช่วยให้ปลอดภัยจากโรคที่สร้างความรำคาญนี้ได้แล้ว สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
- งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
http://bit.ly/3le2Wwo - โรงพยาบาลกรุงเทพ
http://bit.ly/3jCrJtx - เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/3HD2HCt - โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
- นิตยาสารหมอชาวบ้าน
- โรงพยาบาลยันฮี
