ประเทศไทยจัดอยู่กลุ่มประเทศเขตร้อนชื้น ทำให้อากาศร้อนมากในช่วงหน้าร้อนและฝนตกหนักในช่วงหน้าฝน ในบางครั้งก็มีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันจนเกิดเป็นน้ำท่วมขังได้ ทำให้หลายคนจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำ แต่เราก็ทราบดีว่าน้ำที่ท่วมขังไม่ใช่น้ำที่สะอาดและอาจมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ด้วย ทำให้เสี่ยงติดโรคที่มากับน้ำซึ่งโรคฉี่หนูก็เป็นหนึ่งในนั้น
มารู้จักกับโรคฉี่หนูกันเถอะ
โรคฉี่หนูเป็นโรคระบาดที่พบได้มากในช่วงหน้าฝน เพราะน้ำฝนจะชะล้างเอาเชื้อโรคต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมใกล้เคียงแล้วไหลมารวมกันในบริเวณที่น้ำท่วมขัง ซึ่งโรคฉี่หนูมีอีกชื่อว่า “โรคเล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์
เชื้อแบคทีเรียตัวนี้มีชื่อว่า เล็ปโตสไปร่า (Leptospira) เป็นเชื้อขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะอาศัยอยู่ในไตและกระเพาะปัสสาวะของสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค เช่น หนู โค กระบือ สุกร สุนัข แพะ แกะ เป็นต้น ซึ่งสัตว์เหล่านี้ถึงแม้จะได้รับเชื้อแต่ก็อาจจะไม่แสดงอาการและยังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ ในบรรดาสัตว์ที่เป็นพาหะ หนูคือสัตว์ที่เป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนเป็นจำนวนมาก และเมื่อหนูได้ขับเชื้อโรคนี้ออกมากับปัสสาวะเชื้อโรคก็จะเข้าไปปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อม ในน้ำ หรือในพื้นที่ชื้นแฉะ ทำให้เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ผ่านบาดแผล รอยถลอก หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานานได้ นอกจากนี้เชื้อยังสามารถไปปนเปื้อนกับอาหาร และละอองอากาศได้ด้วย
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อของโรคฉี่หนู
· ผู้ที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง มีการเดินย่ำน้ำ ลุยน้ำท่วม
· ผู้ที่ทำงานในภาคการเกษตร เช่น ชาวนา ชาวไร่ เลี้ยงสัตว์ เช่น คนงานบ่อปลา เป็นต้น
· คนงานขุดลอกท่อระบายน้ำ
· ผู้ที่ชอบเดินป่า ท่องเที่ยวตามแม่น้ำ ทะเลสาบ น้ำตก หรือเล่นกีฬาทางน้ำตามธรรมชาติ
วิธีการแพร่เชื้อสู่คน
ถึงแม้ว่าสัตว์จะเป็นพาหะนำเชื้อ แต่คนก็สามารถรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
· การรับเชื้อทางตรง - การสัมผัสปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ได้รับเชื้อโดยตรง เช่น ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย สัตวแพทย์ พนักงานดูแลสัตว์ เป็นต้น
· การรับเชื้อทางอ้อม - คือการรับเชื้อผ่านการปนเปื้อนต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 3 ทาง คือ
o ผ่านทางผิวหนังที่มีบาดแผลหรือรอยถลอก หรือผิวหนังที่เปื่อยจากการแช่น้ำเป็นระยะเวลานาน
o ผ่านทางเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เยื่อบุตา จมูก ช่องปาก
o ผ่านทางการดื่มน้ำ หรือ กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป
2 ระยะของโรคฉี่หนู
ผู้ที่ได้รับเชื้อฉี่หนูจะเริ่มแสดงอาการออกมาได้ตั้งแต่ 2 - 30 วันหลังได้รับเชื้อ ส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการในช่วง 7 - 14 วัน ซึ่งระดับความรุนแรงของอาการมีตั้งแต่ไม่แสดงอาการเลย แสดงอาการน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งอาการของผู้ป่วยจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ ได้แก่
· ระยะแรก – เป็นระยะอาการที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อโดยตรง ในระยะนี้จะมีอาการอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีขึ้น โดยผู้ป่วยจะแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการร่วมกันดังต่อไปนี้
o อาการไข้สูง หนาวสั่น อาการคล้ายเป็นโรคหวัด
o ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ปวดหลัง ปวดหน้าท้อง ปวดต้นขา ปวดน่อง
o เจ็บคอ เจ็บหน้าอก
o ไอ คลื่นไส้ อาเจียน
o ตาแดง เยื่อบุตาบวม
o ไม่อยากอาหาร ท้องเสีย
o มีผื่นขึ้น
o ต่อมน้ำเหลืองโต ตับโต ม้ามโต
· ระยะที่สอง – เป็นระยะอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งการที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้หลายอย่าง เช่น
o มือ เท้า หรือข้อเท้าบวม
o เจ็บหน้าอก
o หายใจลำบาก หายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ
o เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
o ตาอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
o ตัวเหลืองตาเหลืองหรือภาวะดีซ่าน
o ไตวายเฉียบพลัน
o ไอเป็นเลือด
o เลือดออกในปอด ภาวะเลือดออกง่ายตามอวัยวะต่าง ๆ อาจทำให้อวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลวและเป็นอันตรายถึงชีวิตในที่สุด
การตรวจวินิจฉัยโรคฉี่หนู
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคฉี่หนูจะไม่แสดงอาการรุนแรง แต่มักจะมีอาการคล้ายคลึงกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคหวัด ผู้ป่วยอาจเข้าใจผิดและไปซื้อยามารับประทานเองได้ ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยแพทย์ การวินิจฉัยโรคฉี่หนูจากการซักประวัติในเบื้องต้นเพื่อหาความเสี่ยงในการรับเชื้อ เช่น ผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องทำงานกับสัตว์ ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทาง ผู้ที่ทำกิจกรรมทางน้ำ หรือได้สัมผัสกับแหล่งน้ำจืด หรือพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีการแพร่ระบาดของโรคฉี่หนู เป็นต้น รวมไปถึงการซักถามอาการที่แสดง จากนั้นก็จะตรวจร่างกาย และส่งเลือดและปัสสาวะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการเบื้องต้น
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมวินิจฉัยด้วย เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไตเพิ่มเติม เป็นต้น
วิธีการรักษาโรคฉี่หนู
โดยส่วนใหญ่แล้วโรคฉี่หนูมักจะไม่แสดงอาการรุนแรงและสามารถหายเองได้ หรืออาจรับการรักษาจากการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เป็นระยะเวลา 5-7 วัน ซึ่งจำเป็นต้องรับประทานให้ครบถ้วนถึงแม้ว่าจะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้หมดและป้องกันการกลับไปเป็นซ้ำ และอาจรักษาอาการปวดต่าง ๆ ด้วยยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol) ได้ด้วยเช่นกัน
แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจำเป็นจะต้องนอนพักในโรงพยาบาล และรับการรักษาอาการติดเชื้อด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง และหากพบว่ามีอวัยวะใดที่เสียหายจากการติดเชื้อและไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ก็อาจจะต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าไปช่วย เช่น เครื่องช่วยหายใจ หรือหากไตเสียหายก็จำเป็นต้องใช้การล้างไตเข้าไปช่วยด้วย
โดยระยะเวลาของการรักษาขึ้นอยู่กับอาการและการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วยต่อยา อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือนก็ได้ กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีโอกาสที่เชื้อจะแพร่ไปสู่ทารกในครรภ์และส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหากพบว่าผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์จะต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคฉี่หนู
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยผู้ป่วยโรคฉี่หนูชนิดรุนแรงคือภาวะไตวายเฉียบพลัน และภาวะที่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตมากที่สุดคือภาวะที่เกี่ยวกับปอดที่ร้ายแรง เช่น การมีเลือดออกในปอด นอกจากนั้นยังมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้
· การแท้งในหญิงตั้งครรภ์
· ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
· ตับวาย
· ภาวะแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด
· มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
· กล้ามเนื้อลายสลายตัว
· โรคเกี่ยวกับตา เช่น ม่านตาอักเสบ
· ภาวะฉุกเฉินของทางเดินหายใจในผู้ใหญ่
· ความดันโลหิตต่ำ
· โรคหลอดเลือดในสมอง เลือดออกในเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง หลอดเลือดสมองอักเสบ
· โรคคาวาซากิ
· อาการแพ้ที่ทำให้มีไข้หรือเกิดผื่นที่ขา
· โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
· ภาวะหัวใจวาย
โรคฉี่หนูป้องกันได้อย่างไร
· หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันหนูหรือสัตว์พาหะเข้ามาอยู่อาศัย
· หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโดยที่ไม่ใส่เครื่องป้องกัน เช่น การย่ำน้ำขัง การเดินลุยน้ำ หรือการทำงานในแหล่งน้ำ เป็นต้น
· สวมชุดป้องกันทุกครั้งที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง รองเท้ายาง เป็นต้น
· รีบทำความสะอาดร่างกายทันทีเมื่อต้องไปสัมผัสกับแหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนมา
· หากมีผู้ป่วยอยู่ที่บ้านไม่จำเป็นต้องแยกห้องนอน เพียงแต่ให้ระวังเรื่องการขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะ ควรราดน้ำให้สะอาดและล้างมือหลังทำธุระเสร็จทุกครั้ง ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์และการให้นมบุตร เป็นต้น
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลสินแพทย์
http://bitly.ws/CfNv
· โรงพยาบาลศิริราช
http://bitly.ws/CfNK
· โรงพยาบาลพญาไท
http://bitly.ws/CfNR
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
http://bitly.ws/CfNV
· เว็บไซต์พบแพทย์
http://bitly.ws/CfP4
