ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
02 กุมภาพันธ์ 2566

พบก้อนที่คอ อาการเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เช็กก่อน รักษาหาย

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดว่าเป็นโรคมะเร็ง 1 ใน 10 ชนิดที่เกิดขึ้นกับคนไทยจำนวนมาก และมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกที่ในร่างกาย เพราะต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ทั่วร่างกายจึงเรียกได้ว่าเป็นโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามอาการที่บ่งชี้สัญญาณของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง วันนี้เราจะนำความรู้เรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาแบ่งปันทุกคนกัน

 

ระบบต่อมน้ำเหลืองคืออะไร

ระบบต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่กระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม โดยระบบต่อมน้ำเหลืองมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ

1.        น้ำเหลือง มีส่วนประกอบสำคัญคือเม็ดเลือดขาวและมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่มีเยอะที่สุดคือ ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ที่แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิด B และ ชนิด T (Lymphocyte) มีหน้าที่ช่วยทำลายสิ่งมีชีวิต เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

2.        ท่อน้ำเหลือง มีหน้าที่ลำเลียงน้ำเหลืองไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

3.        ต่อมน้ำเหลือง จะกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ภายในจะประกอบด้วยน้ำเหลืองและสสารต่าง ๆ ที่ลำเลียงมาทางท่อน้ำเหลือง และบางบริเวณต่อมน้ำเหลืองจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ได้แก่ บริเวณข้าง ๆ คอ รักแร้ และขาหนีบ

 

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ โรคที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวภายในระบบน้ำเหลืองมีความผิดปกติบางอย่าง ทำให้เม็ดเลือดขาวเจริญเติบโตเร็วผิดปกติและโตไม่หยุด

                  มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ

·       มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin's Lymphoma: HL) 

มักจะเกิดจากเม็ดเลือดขาวชนิด B ที่ผิดปกติและแบ่งตัวจนไม่สามารถควบคุมได้ และกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง มักจะพบในกลุ่มเด็กและกลุ่มวัยหนุ่มสาว

·       มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin's Lymphoma: NHL)

เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B หรือชนิด T เกิดความผิดปกติและเกิดการแบ่งตัวจนไม่สามารถควบคุมได้ จนสะสมแล้วกลายมาเป็นเซลล์มะเร็ง มักจะพบในกลุ่มผู้ใหญ่ หรือผุ้ที่มีเชื้อ HIV

                  มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีอัตราการแพร่กระจายและการตอบสนองต่อร่างกายแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องได้รับการวินิจฉัยโดยละเอียด เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

 

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

·       อายุ

แม้จะมีโอกาสเกิดโรคได้กับคนในทุกช่วงอายุ แต่คนที่มีอายุมากกว่าจะมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่มีอายุน้อย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60-70 ปี

·       เพศ

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีโอกาสเกิดกับเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง

·       โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน

ผู้ที่เป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกันหรือเคยได้รับยาระงับภูมิคุ้มกันมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหรือไม่เคยได้รับยามาก่อน

·       การติดเชื้อ

เชื้อบางชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น เช่น เชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) และ เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นต้น

·       พฤติกรรมการใช้ชีวิต

o   รับประทานอาหารบางชนิดเป็นประจำ เช่น ช็อกโกแลต เนยหรือชีส

o   ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

o   การอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ

o   อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม และอากาศร้อนจัดเป็นประจำ

 

อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

·       อาการในระยะเริ่มต้น

o   คลำดูแล้วพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ หรือเต้านม ซึ่งเมื่อกดดูแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บ ซึ่งแตกต่างจากอาการติดเชื้อที่มักจะรู้สึกเจ็บตรงที่เป็นก้อน จึงควรให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง

o   เป็นไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือรู้สึกคันทั่วร่างกาย

o   รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ

o   มีอาการไอเรื้อรัง หายใจได้ไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต

o   รู้สึกปวดศีรษะในกรณีที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท

·       อาการในระยะลุกลาม

o   ตัวซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว หรือเป็นจ้ำเลือด

o   มีอาการติดเชื้อรุนแรง

o   ในกรณีที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง จะทำให้รู้สึกแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมีน้ำหรือก้อนเนื้อในช่องท้อง

 

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แพทย์จะซักประวัติของผู้ป่วยและตรวจร่างกายในเบื้องต้น จากนั้นจะทำขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้เพื่อสืบค้นเพิ่มเติม   

·       การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)

·       การตรวจไขกระดูก (Bone Marrow Biopsy) เพื่อประเมินว่ามะเร็งได้กระจายเข้าไปในไขกระดูกหรือไม่

·       การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (PET scan หรือ CT scan)

·       การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

·       การเจาะเลือด ดูผลเลือดต่าง ๆ

 

4 ระยะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ระยะอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่แตกต่างกันจะต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 4 ระยะ คือ

·       ระยะที่ 1

เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองเพียงตำแหน่งเดียว โดยจะเป็นต่อมเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ เช่น บริเวณลำคอด้านซ้าย หรือบริเวณรักแร้ด้านขวา เป็นต้น

·       ระยะที่ 2

พบเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง 2 จุดขึ้นไปที่บริเวณเหนือกระบังลมหรือใต้กระบังลมเพียงบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในทางการแพทย์ได้แบ่งร่างกายออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้กล้ามเนื้อใต้อกหรือกระบังลมเป็นเส้นแบ่ง คือด้านบนซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมขึ้นไป และด้านล่างซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมลงมา

·       ระยะที่ 3

พบเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป ซึ่งจะกระจายอยู่ทั้งร่างกายส่วนบนกระบังลมและส่วนใต้กระบังลม เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ร่วมกับขาหนีบ เป็นต้น

·       ระยะที่ 4

เซลล์มะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะอื่น ๆ นอกระบบน้ำเหลือง เช่น ตับ ปอด สมอง กระดูก เป็นต้น

 

การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

              การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของอาการป่วย สามารถเลือกรักษาโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะรักษาแบบผสมผสานก็ได้ ซึ่งการรักษามีวิธีการดังต่อไปนี้

·       การเฝ้าติดตามโรค (Watch&Wait)

ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือมีอาการแสดงออกมาไม่มาก ซึ่งระหว่างการเฝ้าระวังจะมีการตรวจเลือดและตรวจทางรังสีเป็นระยะ ๆ

·       การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy)

การรักษาแบบนี้จะเป็นการใช้เคมีเข้าไปทำลายการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยาเคมีที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปมักจะใช้ยาเคมีบำบัดหลายขนานรวมกัน หรืออาจใช้ร่วมกับการรักษาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

·       การรักษาด้วยยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

ยาตัวนี้เป็นสารสังเคราะห์ที่จะเข้าไปจับโปรตีนบนผิวของเซลล์มะเร็ง จากนั้นก็จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาทำลายเซลล์มะเร็ง

·       การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy) 

เป็นการใช้รังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง

·       การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Tranplantation)  หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant)

เป็นวิธีการทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไปแล้วแทนที่ด้วยเซลล์ปกติ ซึ่งวิธีการนี้แบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่

o   การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic transplantation)

o   การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous transplantation) 

 

วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ผู้ป่วยควรปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตให้ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี คือ

·       รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับมาตรฐานตามค่าดัชนีมวลกาย หรือ ค่า BMI ซึ่งหากค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 – 22.90 ถือว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ

·       ออกกำลังกาย ซึ่งอาจจะเป็นการทำกิจกรรมบางอย่างที่ได้ใช้กำลังก็ได้ เช่น การทำงานบ้าน และไม่ควรหักโหม

·       รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เลือกรับประทานผักและผลไม้ อาหารที่มีแคลอรีต่ำ น้ำตาลน้อย อาหารที่ปรุงสุกใหม่ รวมไปถึงควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อีกด้วย

·       จำกัดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

·       หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่

·       ควรอาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่อับชื้น

·       ดูแลสุขภาพจิตให้ผ่อนคลาย และควรทำความเข้าใจแผนการรักษากับแพทย์

·       นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

 

แม้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเป็นโรคร้ายแรงและมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับคนจำนวนมาก และเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่การหมั่นดูแลรักษาร่างกายและสังเกตอาการผิดปกติ จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายถึงชีวิตได้มาก เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งชนิดที่มีโอกาสหายขาดสูงมากกว่า 50% แม้จะตรวจพบในระยะที่ 4 ของอาการก็ตาม แต่การเข้ารับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ช่วงระยะต้น ๆ ก็จะเป็นผลดีมากที่สุด

สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่ต้องรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจากบริการ กรุงไทย-แอกซ่า แคร์คุณกว่าใคร เพื่อให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเข้ารับการรักษามากขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-services/care-coordination

 

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://bit.ly/3SHu9mW

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/lymphoma

·       โรงพยาบาลพญาไท
https://bit.ly/3SIgKLc

·       โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
https://www.chulabhornhospital.com/page.php?name=1553

·       โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
https://www.princsuvarnabhumi.com/content-lymphoma/

·       เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3TiEcin

บทความสุขภาพที่สำคัญ