มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดว่าเป็นโรคมะเร็ง 1 ใน 10 ชนิดที่เกิดขึ้นกับคนไทยจำนวนมาก และมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกที่ในร่างกาย เพราะต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ทั่วร่างกายจึงเรียกได้ว่าเป็นโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามอาการที่บ่งชี้สัญญาณของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง วันนี้เราจะนำความรู้เรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาแบ่งปันทุกคนกัน
ระบบต่อมน้ำเหลืองคืออะไร
ระบบต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่กระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม โดยระบบต่อมน้ำเหลืองมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ
1. น้ำเหลือง มีส่วนประกอบสำคัญคือเม็ดเลือดขาวและมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซึ่งชนิดของเม็ดเลือดขาวที่มีเยอะที่สุดคือ ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ที่แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิด B และ ชนิด T (Lymphocyte) มีหน้าที่ช่วยทำลายสิ่งมีชีวิต เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
2. ท่อน้ำเหลือง มีหน้าที่ลำเลียงน้ำเหลืองไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
3. ต่อมน้ำเหลือง จะกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ภายในจะประกอบด้วยน้ำเหลืองและสสารต่าง ๆ ที่ลำเลียงมาทางท่อน้ำเหลือง และบางบริเวณต่อมน้ำเหลืองจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ได้แก่ บริเวณข้าง ๆ คอ รักแร้ และขาหนีบ
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ โรคที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวภายในระบบน้ำเหลืองมีความผิดปกติบางอย่าง ทำให้เม็ดเลือดขาวเจริญเติบโตเร็วผิดปกติและโตไม่หยุด
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ
· มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin's Lymphoma: HL)
มักจะเกิดจากเม็ดเลือดขาวชนิด B ที่ผิดปกติและแบ่งตัวจนไม่สามารถควบคุมได้ และกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง มักจะพบในกลุ่มเด็กและกลุ่มวัยหนุ่มสาว
· มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin's Lymphoma: NHL)
เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B หรือชนิด T เกิดความผิดปกติและเกิดการแบ่งตัวจนไม่สามารถควบคุมได้ จนสะสมแล้วกลายมาเป็นเซลล์มะเร็ง มักจะพบในกลุ่มผู้ใหญ่ หรือผุ้ที่มีเชื้อ HIV
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีอัตราการแพร่กระจายและการตอบสนองต่อร่างกายแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องได้รับการวินิจฉัยโดยละเอียด เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
· อายุ
แม้จะมีโอกาสเกิดโรคได้กับคนในทุกช่วงอายุ แต่คนที่มีอายุมากกว่าจะมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่มีอายุน้อย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60-70 ปี
· เพศ
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีโอกาสเกิดกับเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง
· โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน
ผู้ที่เป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกันหรือเคยได้รับยาระงับภูมิคุ้มกันมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหรือไม่เคยได้รับยามาก่อน
· การติดเชื้อ
เชื้อบางชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น เช่น เชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) และ เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นต้น
· พฤติกรรมการใช้ชีวิต
o รับประทานอาหารบางชนิดเป็นประจำ เช่น ช็อกโกแลต เนยหรือชีส
o ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
o การอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ
o อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม และอากาศร้อนจัดเป็นประจำ
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
· อาการในระยะเริ่มต้น
o คลำดูแล้วพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ หรือเต้านม ซึ่งเมื่อกดดูแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บ ซึ่งแตกต่างจากอาการติดเชื้อที่มักจะรู้สึกเจ็บตรงที่เป็นก้อน จึงควรให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง
o เป็นไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือรู้สึกคันทั่วร่างกาย
o รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
o มีอาการไอเรื้อรัง หายใจได้ไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต
o รู้สึกปวดศีรษะในกรณีที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท
· อาการในระยะลุกลาม
o ตัวซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว หรือเป็นจ้ำเลือด
o มีอาการติดเชื้อรุนแรง
o ในกรณีที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง จะทำให้รู้สึกแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมีน้ำหรือก้อนเนื้อในช่องท้อง
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
แพทย์จะซักประวัติของผู้ป่วยและตรวจร่างกายในเบื้องต้น จากนั้นจะทำขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้เพื่อสืบค้นเพิ่มเติม
· การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
· การตรวจไขกระดูก (Bone Marrow Biopsy) เพื่อประเมินว่ามะเร็งได้กระจายเข้าไปในไขกระดูกหรือไม่
· การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (PET scan หรือ CT scan)
· การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
· การเจาะเลือด ดูผลเลือดต่าง ๆ
4 ระยะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ระยะอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่แตกต่างกันจะต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 4 ระยะ คือ
· ระยะที่ 1
เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองเพียงตำแหน่งเดียว โดยจะเป็นต่อมเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ เช่น บริเวณลำคอด้านซ้าย หรือบริเวณรักแร้ด้านขวา เป็นต้น
· ระยะที่ 2
พบเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง 2 จุดขึ้นไปที่บริเวณเหนือกระบังลมหรือใต้กระบังลมเพียงบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในทางการแพทย์ได้แบ่งร่างกายออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้กล้ามเนื้อใต้อกหรือกระบังลมเป็นเส้นแบ่ง คือด้านบนซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมขึ้นไป และด้านล่างซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมลงมา
· ระยะที่ 3
พบเซลล์มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป ซึ่งจะกระจายอยู่ทั้งร่างกายส่วนบนกระบังลมและส่วนใต้กระบังลม เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ร่วมกับขาหนีบ เป็นต้น
· ระยะที่ 4
เซลล์มะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะอื่น ๆ นอกระบบน้ำเหลือง เช่น ตับ ปอด สมอง กระดูก เป็นต้น
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของอาการป่วย สามารถเลือกรักษาโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือจะรักษาแบบผสมผสานก็ได้ ซึ่งการรักษามีวิธีการดังต่อไปนี้
· การเฝ้าติดตามโรค (Watch&Wait)
ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือมีอาการแสดงออกมาไม่มาก ซึ่งระหว่างการเฝ้าระวังจะมีการตรวจเลือดและตรวจทางรังสีเป็นระยะ ๆ
· การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy)
การรักษาแบบนี้จะเป็นการใช้เคมีเข้าไปทำลายการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยาเคมีที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปมักจะใช้ยาเคมีบำบัดหลายขนานรวมกัน หรืออาจใช้ร่วมกับการรักษาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
· การรักษาด้วยยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
ยาตัวนี้เป็นสารสังเคราะห์ที่จะเข้าไปจับโปรตีนบนผิวของเซลล์มะเร็ง จากนั้นก็จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาทำลายเซลล์มะเร็ง
· การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy)
เป็นการใช้รังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
· การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Tranplantation) หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant)
เป็นวิธีการทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไปแล้วแทนที่ด้วยเซลล์ปกติ ซึ่งวิธีการนี้แบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
o การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic transplantation)
o การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous transplantation)
วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ผู้ป่วยควรปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตให้ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี คือ
· รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับมาตรฐานตามค่าดัชนีมวลกาย หรือ ค่า BMI ซึ่งหากค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 – 22.90 ถือว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
· ออกกำลังกาย ซึ่งอาจจะเป็นการทำกิจกรรมบางอย่างที่ได้ใช้กำลังก็ได้ เช่น การทำงานบ้าน และไม่ควรหักโหม
· รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เลือกรับประทานผักและผลไม้ อาหารที่มีแคลอรีต่ำ น้ำตาลน้อย อาหารที่ปรุงสุกใหม่ รวมไปถึงควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อีกด้วย
· จำกัดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
· หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่
· ควรอาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่อับชื้น
· ดูแลสุขภาพจิตให้ผ่อนคลาย และควรทำความเข้าใจแผนการรักษากับแพทย์
· นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
แม้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเป็นโรคร้ายแรงและมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับคนจำนวนมาก และเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่การหมั่นดูแลรักษาร่างกายและสังเกตอาการผิดปกติ จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายถึงชีวิตได้มาก เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งชนิดที่มีโอกาสหายขาดสูงมากกว่า 50% แม้จะตรวจพบในระยะที่ 4 ของอาการก็ตาม แต่การเข้ารับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ช่วงระยะต้น ๆ ก็จะเป็นผลดีมากที่สุด
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่ต้องรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจากบริการ กรุงไทย-แอกซ่า แคร์คุณกว่าใคร เพื่อให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเข้ารับการรักษามากขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-services/care-coordination
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://bit.ly/3SHu9mW
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/lymphoma
· โรงพยาบาลพญาไท
https://bit.ly/3SIgKLc
· โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
https://www.chulabhornhospital.com/page.php?name=1553
· โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
https://www.princsuvarnabhumi.com/content-lymphoma/
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3TiEcin
