ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
30 พฤษภาคม 2566

ไปเที่ยวดอย เดินป่า ต้องระวังโรคมาลาเรีย ภัยร้ายจากยุงก้นปล่อง

ในช่วงวันหยุดยาวหลายคนอาจมีแพลนไปเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเป็นขึ้นดอยไปสูดอากาศเย็น ๆ หรือไปตั้งแคมป์เดินป่า แต่สิ่งที่ต้องระวังคือโรคที่อาจมาพร้อมกับแมลงอย่างยุง ซึ่งโรคมาลาเรียที่มีสาเหตุมาจากยุงก้นปล่องที่อาศัยอยู่ในป่าก็เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คนชอบเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติไม่ควรละเลย

 

มารู้จักกับโรคมาลาเรีย

              โรคมาลาเรียเกิดจากเชื้อโรคโปรโตซัวที่เรียกว่า พลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในเลือด มียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพานะ เชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียมมีอยู่หลายชนิดแต่มีชนิดที่ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่ 5 ชนิด ได้แก่

·       พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum) 

·       พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (P.Vivax) 

·       พลาสโมเดียม มาลาริอี่ (P.Malariae) 

·       พลาสโมเดียม โอวาเล่ (P.Ovale) 

·       พลาสโมเดียม โนว์ไซ (P. Knowlesi)

โดยชนิดที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย คือ พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม และรองลงมา คือ พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์

 

โรคมาลาเรียติดต่อมาสู่คนได้อย่างไร

                  เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียมากัดคน ยุ่งจะปล่อยเชื้อมาลาเรีย (Sporozoite) จากต่อมน้ำลายเข้าสู่กระแสเลือดของคน โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที เชื้อจะเข้าสู่ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนแบบไม่อาศัยเพศ ทำให้เกิดเป็น Merozoite นับพันตัว จากนั้นเซลล์ตับจะโตและแตกออกปล่อย Merozoite กลับเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้นเชื้อจะเดินทางต่อไปยังเม็ดเลือดแดงและเจริญเป็น Trophozoite และแบ่งตัวอีกครั้งเป็น Merozoite 6-30 ตัว เมื่อเม็ดเลือดแดงแตก Merozoite จะเดินทางไปที่เม็ดเลือดแดงอื่นวนเวียนอยู่แบบนี้ Merozoite บางตัวจะมีการเปลี่ยนแปลงเพศเป็นเชื้อมีเพศ (Gametocyte) ซึ่งได้แก่ เพศผู้และเพศเมีย เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดคนที่มี Gametocyte ในกระแสเลือด เชื้อเหล่านี้จะผสมพันธุ์กันเป็น Zygote เจริญเป็น Oocyst ฝังตัวที่กระเพาะยุง แล้วแบ่งตัวเป็น Sporozoite ไปยังต่อมน้ำลายเพื่อรอการกัดของยุงและแพร่ไปสู่คนอีกครั้ง 

 

ประเภทและระยะการฟักตัวของเชื้อโรคมาลาเรีย

เชื้อแต่ละชนิดจะใช้เวลาในการแบ่งตัวและทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกต่างกันออกไป เช่น

·       เชื้อพลาสโมเดียม ฟัสซิพารัม
พบในไทยและพบได้บ่อยในแถบแอฟริกา เป็นชนิดที่รุนแรงที่สุดและอาจทำให้เสียชีวิตได้ ใช้เวลาในการแบ่งตัว 42-48 ชั่วโมง จึงทำให้เกิดไข้ในวันที่ 3 หลังจากได้รับเชื้อ

·       เชื้อพลาสโมเดียมไวแวกซ์
พบในไทยและหลายประเทศในเขตร้อนสามารถแฝงตัวอยู่ในตับได้นานเป็นปีหลังจากติดเชื้อ ใช้เวลาในการแบ่งตัว 48 ชั่วโมง จึงทำให้เกิดไข้ในวันที่ 3 หลังจากได้รับเชื้อ

·       เชื้อพลาสโมเดียมโอวัลเล่ 
สามารถแฝงตัวอยู่ในตับได้นานเป็นปีหลังจากติดเชื้อ ใช้เวลาในการแบ่งตัว 48 ชั่วโมง จึงทำให้เกิดไข้ในวันที่ 3 หลังจากได้รับเชื้อเช่นกัน

·       เชื้อพลาสโมเดียม มาลาริอี่
อาจทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ใช้เวลาในการแบ่งตัว 72 ชั่วโมง อาการไข้จึงเกิดในวันที่ 4 หลังจากได้รับเชื้อ

·       เชื้อพลาสโมเดียม โนวไซ

พบได้บ่อยในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศไทยพบได้บ้าง เชื้อชนิดนี้มีการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง โดยใช้เวลาในการแบ่งตัว 24 ชั่วโมง ดังนั้นอาการไข้จึงอาจเกิดในวันถัดมาหลังจากได้รับเชื้อ

ระยะการติดต่อ

              เชื้อมาลาเรียสามารถติดต่อได้โดยมียุงก้นป่องที่ไปกัดผู้ป่วยมาลาเรียเป็นพาหะและนำเชื้อไปสู่บุคคลอื่น แต่ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยตรงได้ เว้นแต่จะเป็นการติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ นอกจากนั้นก็ยังสามารถติดเชื้อมาเลาเรียได้จากการรับเลือดหรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน แต่ก็เป็นกรณีเหล่านี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

                  ยุงก้นปล่องเพศเมียสามารถกัดคนที่มีเชื้อมาลาเรียได้ตลอดเวลาที่บุคคลนั้นยังมีเชื้อ Gametocyte ในกระแสเลือด ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อพลาสโมเดียม มาลาริอี่ แต่ได้รับการรักษาที่ไม่เพียงพออาจะจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้ยาวนานถึง 3 ปี หรือ 1-2 ปี ในกรณีของผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อพลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม

 

อาการของโรคมาลาเรีย

ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมาลาเรียจะเริ่มมีอาการตั้งแต่ช่วงที่เซลล์ตับเริ่มโตและแตกออกและเริ่มปล่อย Merozoite ออกมาในกระแสเลือด โดยอาการเบื้องต้นจะมีอาการคล้ายกับโรคหวัด คือ เริ่มจากมีไข้ต่ำ และอุณภมิจะสูงขึ้น มีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดตามตัวและกล้ามเนื้อ รวมถึงอาจมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ในระยะสั้น ๆ หรือหลายวันก็ได้ ขึ้นอยู่กับระยะฟักตัวของเชื้อและจำนวนของเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับเข้าไป นอกจากนี้ยังมีอาการรุนแรงอื่น ๆ เช่น ท้องเสีย ภาวะโลหิตจาง มีอาการตัวซีด ตาเหลืองตัวเหลือง มีจุดออกเลือดหรือเลือดออกผิดปกติ อุจจาระเป็นเลือด มีอาการสับสน ซึม หมดสติและไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรืออยู่ในภาวะโคม่า โดยอาการจับไข้ซึ่งเป็นอาการที่เด่นชัดของโรคมาลาเรีย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่

·       ระยะแรก ระยะนี้ใช้เวลา 15-60 นาที เป็นระยะการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อมาลาเรีย

o   มีอาการหนาวสั่น

o   ตัวเย็น

o   ชีพจรเต้นเร็ว

o   มีอาการเกร็ง

o   ปัสสาวะบ่อย

o   อุณหภูมิร่างกายค่อย ๆ สูงขึ้น

·       ระยะร้อน ระยะนี้ใช้เวลา 1-3 ชั่วโมง

o   มีไข้สูง 40 องศา

o   ตัวร้อน ลมหายใจร้อน หน้าแดง ปากซีด

o   กระหายน้ำ

o   ชีพจรเต้นเร็วและแรง

o   ปวดศีรษะลึกเข้าไปในกระบอกตา

·       ระยะเหงื่อออก ระยะนี้ใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง

o   ไข้จะเริ่มลดลง

o   เริ่มมีเหงื่อออกและเข้าสู่ภาวะปกติ

 

วิธีการตรวจโรคมาลาเรีย

                  แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติและประวัติการเดินทางของผู้ป่วยว่าได้เดินทางไปในเขตที่มีโอกาสติดเชื้อหรือไม่ซึ่งโดยปกติจะอยู่ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน และมักจะพบมากในช่วงฤดูฝน กิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมาลาเรีย ได้แก่ การเดินป่า การตั้งแคมป์ หรือการท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีแหล่งน้ำ ในประเทศไทยพื้นที่ที่พบการระบาดบ่อยที่สุด คือ บริเวณชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

จากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายและตรวจเลือดโดยจะใช้การตรวจเลือดที่เรียกว่า Thick Smear และ Thin Smear ซึ่งเป็นการตรวจเลือดหาเชื้อโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ ซึ่งจะต้องย้อมสีเลือดให้เห็นตัวเชื้อด้วยสียิมซา (Giemsa) เพื่อให้แพทย์สามารถพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจใช้การตรวจอื่น ๆ เพื่อช่วยในการระบุชนิดของเชื้อโปรโตซัว ได้แก่

·       ตรวจการทำงานของตับ

·       ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) 

·       ตรวจน้ำตาลในเลือด 

·       การตรวจยีน (Gene) มีราคาแพงมาก ไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย

·       การตรวจด้วยการย้อมสีเลือดและตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์

·       ชุดตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ (RDT) ซึ่งมีจำหน่ายแต่ราคาค่อนข้างแพงและไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย

·       ตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy)

 

การรักษาโรคมาลาเรีย

โรคมาลาเรียสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยแพทย์จะแบ่งการรักษาออกเป็นทั้งหมด 3 ลักษณะ คือ

·       การรักษาแบบจำเพาะ

คือ การให้ยา Schizontocide เพื่อกำจัดเชื้อมาลาเรียในระยะไร้เพศในเม็ดเลือดแดง โดยการเลือกยา Schizontocide  จำเป็นต้องพิจารณาตามลักษณะการดื้อยาของเชื้อมาลาเรียในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีการใช้ยาชนิดอื่น ๆ ด้วย ซึ่งจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ชนิดของเชื้อ ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย การตั้งครรภ์ ซึ่งยาต้านมาลาเรียที่นำมาใช้บ่อย ได้แก่

o   ยาคลอโรควิน (Chloroquine)

o   ยาดอกซีไซคลิน (Doxycycline) 

o   ยาควินิน ซัลเฟต (Quinine Sulfate)

o   ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine)

o   ยาเมโฟลควิน (Mefloquine)

o   ยาไพรมาควิน (Primaquine)

o   การใช้ร่วมกันระหว่างยา Proguanil และ Atovaquone

o   การใช้ร่วมกันระหว่างยา Artemether และ Lumefantrine

·       การรักษาแบบบำบัดอาการและภาวะแทรกซ้อน

เป็นการบำบัดอาการและภาวะแทรกซ้อนอื่นในขณะที่ผู้ป่วยยังมีเชื้อมาลาเรีย หรือภายหลังที่เชื้อหมดแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อพลาสโมเดียม ฟัสซิพารัม ที่หากได้รับการรักษาล่าช้าจะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

·       การป้องกันการแพร่โรค

เราสามารถป้องกันการแพร่ของเชื้อได้โดยการใช้ยา Gametocytocide ฆ่าเชื้อมาลาเรียระยะติดต่อ คือ Gametocyte โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ที่มียุงเป็นพาหะ 

 

โรคมาลาเรียป้องกันได้อย่างไร

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันโรคมาเรียที่รับรองโดย WHO แล้ว แต่วัคซีนจะถูกใช้ในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของไข้มาลาเรียอย่างประเทศในทวีปแอฟริกาเท่านั้น ดังนั้นหากเราจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อมาลาเรียสามารถป้องกันตัวเองได้ดังต่อไปนี้

·       สวมเสื้อผ้าสีอ่อนและปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด

·       ใช้สารไล่แมลงทาผิว เช่น สาร Diethyltoluamide: DEET ซึ่งมีจำหน่ายทั้งรูปแบบสเปรย์ โรลออน แบบแท่งและครีม โดยอาจต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก

·       นอนในมุ้งหรือบริเวณที่ปลอดยุง อาจใช้มุ้งชุบยาไล่ยุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยุง

·       กำจัดแหล่งลูกน้ำ เช่น บริเวณน้ำกักขัง เป็นต้น

 

เมื่อรู้จักและเข้าใจโรคมาลาเรียกันมากขึ้นแล้ว ไปเที่ยวครั้งหน้าอย่าลืมเตรียมตัวไปให้พร้อมทั้งเสื้อผ้าและยากันยุง จะได้เที่ยวได้อย่างสบายใจ ปลอดภัยไร้โรค แต่ถ้าหากมีอาการที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมาลาเรียควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็กและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.tropmedhospital.com/knowledge/malaria.html

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/573

·       โรงพยาบาลวิภาวดี
https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/562

·       งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
https://bit.ly/3CpQHT7

·       เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3jSXuyh

·       โรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ
https://www.princsuvarnabhumi.com/content-malaria/

·       โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
https://bit.ly/3GkUqCp
https://bit.ly/3ZdkGYd

บทความสุขภาพที่สำคัญ