ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
01 กุมภาพันธ์ 2566

'ระบบประสาท สำคัญ-ทำงานอย่างไร? รวม 6 โรคระบบประสาท ที่พบบ่อย

 สมองของมนุษย์เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและทำหน้าที่สั่งการและควบคุมการทำงานของระบบประสาทต่าง ๆ ภายในร่างกาย เป็นศูนย์กลางทั้งการรับและส่งปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัวได้อย่างเหมาะสม ทุกคนรู้ดีว่าสมองคือส่วนสำคัญของร่างกายแต่เรารู้จักสมองและการทำงานของอวัยวะสำคัญนี้ของเรามากแค่ไหน

 

ระบบประสาทคืออะไร

ระบบประสาทเกิดจากเซลล์ประสาททั้งหมดภายในร่างกายเป็นเหมือนห้องบังคับการใหญ่ ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลที่ผ่านเข้ามากระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกผ่านทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ  จากนั้นก็วิเคราะห์ข้อมูลและสั่งการให้อวัยวะต่าง ๆ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างเหมาะสม เช่น เมื่อมือเราไปโดนจานร้อน ๆ ข้อมูลจะถูกส่งเข้าไปที่ระบบประสาทพร้อมกับส่งความเจ็บปวดไปยังสมอง ระบบประสาทก็จะสั่งการให้เราปล่อยมือออกจากจานนั้นโดยอัตโนมัติในทันที

 

ระบบประสาทแบ่งออกเป็น 2 ชุด แบ่งตามตำแหน่งของร่างกาย ได้แก่

·       ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาท สมอง และไขสันหลัง

·       ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System) ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง

 

หน้าที่ของระบบประสาท

              การทำงานของระบบประสาทจะขึ้นอยู่กับเซลล์ประสาทจำนวนหลายพันล้านเซลล์ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น เซลล์ประสาทรับความรู้สึกจะมีหน้าที่รับข้อมูลจากตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง และส่งต่อข้อมูลไปที่สมองเพื่อประมวลผลและตอบสนอง หรือเซลล์ประสาทสั่งการมีหน้าที่รับคำสั่งจากสมองและไขสันหลัง เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ

                  เซลล์ประสาททั้งหมดจะทำหน้าที่ส่งข้อมูลถึงกันผ่านกระบวนการไฟฟ้าเคมีจนเกิดการเชื่องโยงเป็นเครือข่าย ทำให้ส่งผลต่อความคิด การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว และพฤติกรรมต่าง ๆ ของเรา โดยสามารถแบ่งออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้ดังนี้

·        ความฉลาดและความจำ

เช่น ในเซลล์ประสาทของเด็กแรกเกิดจะยังไม่เชื่องโยงกัน แต่เมื่อเด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะเกิดการส่งต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทมาก จนเกิดการเชื่องโยงและกลายเป็นกระแสประสาท ซึ่งส่งผลต่อความฉลาดของเด็ก

·        การทำงานพื้นฐานของร่างกาย

เช่น การหายใจ การย่อยอาหาร

·        การเคลื่อนไหว

โดยสมองซีกซ้ายควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา และสมองซีกขวาควบคุมการทำงานของร่างกานด้านซ้าย

·       ประสาทสัมผัสทั้ง 5

ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรส และการรับสัมผัส

 

6 โรคระบบประสาทที่พบบ่อย

1.        ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
สาเหตุ: ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากความผิดปกติของสมอง ซึ่งมีความผิดปกติมาจากหลายปัจจัย เช่น หลอดเลือดสมองผิดปกติทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ พัฒนาการของโปรตีนภายในเซลล์สมองผิดปกติ (Lewy Body Dementia) เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคพาร์กินสัน โรค Creutzfeldt-Jakob มีเนื้องอกในสมอง เป็นต้น การขาดสารอาหารอย่างรุนแรง การได้รับสารพิษและการติดสุราเรื้อรัง รวมถึงผลกระทบต่อสมองที่เกิดจากเหตุการณ์บางอย่าง เช่น สมองขาดออกซิเจน สมองติดเชื้อ สมองได้รับการกระทบกระเทือน เป็นต้น
อาการ: มักเริ่มจากการไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น พูดไม่เป็นประโยค ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือแต่งตัวเองได้ วางสิ่งของผิดที่ วางแผนล่วงหน้าไม่ได้ จดจำเวลาและสถานที่ไม่ได้ จดจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีอาการมากขึ้นจะมีพฤติกรรมแปรปรวน หวาดระแวง และเกิดภาพหลอน

2.        โรคอัลไซเมอร์
สาเหตุ: เกิดจากพันธุกรรมซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งโรคนี้เกิดจากการที่เซลล์สมองถูกทำลายและไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ผู้ป่วยมีความบกพร่องทางสติปัญญา เช่น ความคิด ความจำ และการตัดสินใจ
อาการ: สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งใช้เวลา 3- 20 ปีตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยระยะแรกผู้ป่วยจะเริ่มสูญเสียความทรงจำระยะสั้น ไม่สามารถจำอะไรใหม่ ๆ ได้ เริ่มจำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ และจำไม่ได้ว่าสิ่งตรงหน้าคืออะไร ถัดมาในระยะกลางผู้ป่วยอาจมีอาการเห็นภาพหลอน หูแว่ว รวมถึงมีพฤติกรรมก้าวร้าว และอาจหาทางกลับบ้านไม่ได้เมื่อออกจากบ้านไปคนเดียว ส่วนระยะสุดท้ายสมองของผู้ป่วยจะถูกทำลายจนไม่สามารถควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายได้และเสียชีวิตในที่สุด

3.        โรคพาร์กินสันหรือโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ
สาเหตุ: เกิดจากการตายของเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ผลิตสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (Dopamine) ซึ่งสารเคมีนี้ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อยากขึ้น
อาการ: ผู้ป่วยจะมีอาการสั่นบริเวณมือ แขน ขา ขากรรไกร เคลื่อนไหวช้า ทำให้การขยับแขนขา การแสดงท่าทางและการเดินทำได้ลำบาก มีอาการชา ปวดกล้ามเนื้อ พูดช้า เคี้ยวหรือกลืนยาก ท้องผูก ควบคุมปัสสาวะไม่อยู่ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ นอนไม่หลับ สูญเสียความทรงจำ สำหรับอาการทางจิตใจผู้ป่วยอาจมีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล

4.        โรคลมชักหรืออาการวูบ
สาเหตุ: เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในสมอง ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม สมองพิการแต่กำเนิด พยาธิในสมอง เส้นเลือดในสมองผิดปกติ สมองได้รับการกระทบกระเทือน มีเนื้องอกในสมอง และการสะสมสารพิษ เช่น ตะกั่ว
อาการ: มีอาการชักเกิดขึ้นมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป ซึ่งอาการชักจะเป็นแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว ผู้ป่วยจะหมดสติ ล้มลง ตาเหลือก ส่งเสียงดัง กัดฟัน หยุดหายใจชั่วคราว แล้วจึงค่อยชักกระตุกซึ่งกินเวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อหยุดชักแล้วผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อบาดเจ็บและปวดศีรษะ

 

5.        โรคปลอกประสาทอักเสบ (Demyelinating Disease) ชนิด NMO (Neuromyelitis Optica)
สาเหตุ: ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่ชัดเจน แต่มีปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดโรค ได้แก่ กรรมพันธุ์ ชนชาติ ซึ่งคนในประเทศแถบเอเชียมีโอกาสพบโรคมากกว่าคนผิวขาว หรือเกิดจากเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้ออีบีวี
อาการ: ผู้ป่วยจะมีอาการเส้นประสาทตาอักเสบ ไขสันหลังอักเสบและปลอกประสาทในสมองอักเสบ ซึ่งการที่เส้นประสาทตาอักเสบจะทำให้ตามัวเฉียบพลัน ภาพที่มองไม่ชัดจะเริ่มจากตรงกลางของตา มักจะมีอาการเพียงข้างเดียวและมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงตาบอดสนิท ส่วนการที่ไขสันหลังอักเสบนั้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาที่แขน ขา ลำตัว โดยอาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ กล้ามเนื้อแขนหรือขาอ่อนแรง ความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ สำหรับปลอกประสาทในสมองอักเสบผู้ป่วยจะเห็นภาพซ้อน เดินเซ แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก มีอาการซึม สะอึกไม่หยุด คลื่นไส้อาเจียนต่อเนื่องโดยไม่ทราบสาเหตุ การนอนหลับผิดปกติ ความรู้สึกตัวลดลงและอาจจะมีอาการชัก

 

6.        ภาวะใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก (Ramsay Hunt Syndrome )
สาเหตุ: เป็นโรคที่เกิดจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อักเสบ ซึ่งเป็นเส้นประสาทส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้า การอักเสบนี้เกิดจากไวรัส Herpes zoster ที่เป็นต้นเหตุของโรคอีสุกอีใสและงูสวัด
อาการ: ในช่วง 1-3 วันแรกผู้ป่วยจะมีอาการนำ ซึ่งได้แก่ ปวดบริเวณใบหน้า มีไข้และอ่อนเพลีย หลังจากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกตามมา ได้แก่ หนังตาตก หลับตาไม่สนิท ยักคิ้วไม่ได้ ปากเบี้ยว มุมปากตก มีตุ่มน้ำขึ้นในรูหูและใบหู รู้สึกปวดหู รวมถึงอาจมีอาการทางหูเพิ่มเติม เช่น ได้ยินลดลง มีเสียงดังในหู หรือมีอาการบ้านหมุน

 

จะเห็นได้ว่าแต่ละโรคมีอาการแตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าหากพบว่าบุคคลใกล้ชิด คนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งตัวคุณเอง มีอาการผิดปกติบางอย่างที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคที่ได้กล่าวมาในข้างต้น สามารถมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์ระบบประสาทและสมอง เพื่อรับคำวินิจฉัยและการตรวจสอบเพิ่มเติม

 

ดูแลระบบประสาทง่าย ๆ ด้วยวิธีเหล่านี้

·       รักษาโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

·       ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยออกในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

·       รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทอย่าง วิตามินบี 6 บี 12 และโฟเลต

·       ป้องกันสภาวะขาดน้ำโดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการขาดน้ำอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมึนงง สับสน และอาจส่งผลถึงความจำ

·       นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

·       งดสูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงไม่ใช้สารเสพติด

·       หากมีปัญหาด้านการมองเห็นและการได้ยินควรเข้ารับการตรวจและรักษาจากแพทย์

·       ระวังและป้องกันการได้รับบาดเจ็บที่กระทบต่อศีรษะจากอุบัติเหตุ

·       จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ควรทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน

·       หมั่นเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อพัฒนาสมาธิและความสามารถในการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ

·       จดบันทึกช่วยจำ หรือเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในสมุดบันทึกหรือปฏิทิน

 

ถึงแม้ว่าสมองจะสามารถเสื่อมถอยไปได้ตามกาลเวลา เช่นเดียวกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย แต่การเสื่อมถอยของสมองจะส่งผลที่รุนแรงมากกว่า เพราะสมองเป็นเหมือนห้องควบคุมสั่งการของระบบต่าง ๆ ทั้งหมด การหมั่นดูแลสมองอย่างต่อเนื่องด้วยการเลือกใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลดีต่อสุขภาพก็จะช่วยหลีกเลี่ยงหรืออย่างน้อยยืดอายุการใช้งานสมองของเราไปได้อีกยาวนาน

 

สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://bit.ly/3RAHmgA

·       คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1235

·       โรงพยาบาลพระราม 9
https://www.praram9.com/ramsayhunt-syndrome/

·       เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3cUnR3K

บทความสุขภาพที่สำคัญ