ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
23 สิงหาคม 2567

อาการแพ้ถั่ว ปากบวม มีผื่นคัน รับมืออย่างไร

 ถั่ว ของกินเล่นที่หลายคนชอบ แต่รู้หรือไม่ว่า เจ้าถั่วจิ๋วเหล่านี้เป็นหนึ่งในอาหารที่อาจทำให้บางคนแพ้และส่งผลร้ายแรงจนถึงชีวิตได้ หากเรามีความรู้ความเข้าใจ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงและแยกแยะชนิดของถั่วเพื่อป้องกันการแพ้ได้ วันนี้เราจะพามารู้จักกับอาการแพ้ถั่วกัน

 

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจประเภทของถั่ว

แม้ว่า Nut และ Beans จะมีความหมายว่าถั่วเหมือนกัน แต่มีลักษณะไม่เหมือนกัน โดย Nut เป็นถั่วมีเปลือกและเมล็ดแข็ง มีรูปร่างเมล็ดเกือบกลม ส่วนใหญ่มีสีอ่อน เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ วอลนัต ถั่วลิสง แมคคาเดเมีย พิตาชิโอ พีแคน เป็นต้น ส่วน Beans เป็นเมล็ดแห้งที่มีเปลือกอ่อน มีสีสันหลากหลายและลักษณะเหมือนรูปไต อย่างเช่นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสงและถั่วแดง เป็นต้น ซึ่งคนที่แพ้ถั่วเปลือกแข็ง ส่วนใหญ่จะแพ้ถั่วชนิด Nut หรือถั่วเปลือกแข็ง บางรายอาจแพ้ถั่วเปลือกแข็งชนิดเดียว บางรายอาจแพ้ถั่วเปลือกแข็งหลายชนิด หรือบางรายอาจแพ้ถั่วชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ถั่วเหลืองหรือถั่วลิสง

 

อาการแพ้ถั่ว คืออะไร

อาการแพ้ถั่ว (Nut Allergy) เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายได้รับโปรตีนที่อยู่ในถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อโปรตีนชนิดนั้นด้วยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ ซึ่งจะปล่อยสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมา ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น

  • ผื่นขึ้นที่ผิวหนัง มีลมพิษ
  • ริมฝีปากบวม
  • น้ำมูกไหล คัดจมูก มีน้ำมูก
  • รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอหรือแน่นคอ
  • ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออาเจียน
  • ถ้าหากมีอาการแพ้ขั้นรุนแรง อาจส่งผลให้ช็อค หมดสติและอาจเสียชีวิตได้

โดยอาการแพ้ถั่วจะเกิดขึ้นภายใน 1 นาทีหรือไม่เกิน 1 ชั่วโมง หลังจากการรับประทานถั่วหรืออาหารที่มีส่วนประกอบของถั่ว

 

คนแพ้ถั่ว กินอะไรไม่ได้บ้าง ควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง

การแพ้ถั่ว นอกจากจะต้องระวังการกินถั่วโดยตรงแล้ว ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่มีถั่วแอบแฝงและมีส่วนผสมของถั่ว สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วควรอ่านข้อมูลและส่วนประกอบบนฉลากสินค้าหรืออาหารว่ามีส่วนประกอบของถั่วหรือไม่ ซึ่งจะมีบรรทัดบอกแยกเป็นคำเตือนว่า ‘ข้อมูลสำหรับผู้ที่แพ้อาหาร: มีถั่วเหลืองหรือมีส่วนประกอบของถั่ว’ เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มักมีส่วนผสมของถั่ว ได้แก่

·       ขนม: ขนมปัง คุกกี้ เค้ก  ไอศกรีม ลูกอม ขนมหวาน

·       เครื่องปรุง: ซอสถั่วเหลือง โชยุ ซีอิ้วขาว น้ำสลัด

·       อาหาร: เต้าหู้ ก๋วยเตี๋ยว ตำไทย ยำ น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ เมี่ยงคำ แกงมัสมั่น ซีเรียล  

·       ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่สามารถก่อเกิดอาการแพ้จากการสัมผัสหรือสูดดม: แชมพู สบู่ โลชั่น

 

วิธีทดสอบอาการแพ้ถั่ว

เมื่อตนเองมีอาการที่คล้ายกับอาการแพ้ถั่ว เช่น ผื่นขึ้น ปากบวม ก็สามารถเข้ารับการทดสอบการแพ้อาหารได้ ซึ่งมีวิธีการทดสอบดังนี้

·       การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergen Skin Pick Test) โดยการสะกิดผิวหนังด้วยเข็มที่มีสารก่อภูมิแพ้ แล้วรอดูผลว่าสารอะไรที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ซึ่งสามารถทดสอบได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป เพราะผิวหนังของเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ จะมีภาวะผิวหนังยังไม่เจริญเต็มที่ อาจส่งผลให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้

·       การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE) โดยการเจาะเลือดแล้วแยกน้ำเหลืองออกมา หลังจากนั้นทำการทดสอบกับสารแต่ละชนิดเพื่อจำแนกว่าเกิดการแพ้จากถั่วชนิดใดบ้าง การทดสอบการแพ้อาหารด้วยวิธีการรับประทานอาหารที่สงสัย (Oral Food Challenge Test) โดยการรับประทานอาหารที่สงสัยว่าแพ้ และสังเกตอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์

 

วิธีการรับมือ เมื่อมีอาการแพ้ถั่ว

เมื่อมีอาการแพ้ถั่วที่เกิดจากการรับประทาน สัมผัส หรือสูดดม แต่ไม่รุนแรง สามารถทานยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นได้ทันที โดยยาจะออกฤทธิ์ภายใน 15 – 30 นาที แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาและหาสาเหตุอื่น ๆ แต่ถ้าหากมีภาวะแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) จำเป็นต้องฉีดยาอิพิเนฟริน (Epinephrine) ที่เป็นยากรณีฉุกเฉินในรูปแบบปากกาหรือที่เรียกกันว่า EpiPen ซึ่งเป็นยาที่แพทย์ให้ติดตัวไว้สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ ก็จะช่วยยับยั้งอาการและกระตุ้นการทำงานของหัวใจเมื่อหัวใจหยุดเต้น

 

การหลีกเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของถั่วทุกชนิดเป็นวิธีการป้องกันการแพ้ถั่วที่ดีที่สุด ดังนั้นเราจึงควรอ่านฉลากให้ละเอียดและครบถ้วนก่อนเลือกซื้อ รวมถึงพกยาแก้แพ้ติดตัวเพื่อรับมืออาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       Pobpad
https://bit.ly/4civ7QQ

·       โรงพยาบาลบีเอ็นเอช
https://bit.ly/3wZxBn6

·       WebMD
https://wb.md/3VggAij

 

 

 

บทความสุขภาพที่สำคัญ