จริง ๆ แล้ว โรครองช้ำ เป็นโรคทั่วไปที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไร แต่หากปล่อยไว้นาน จนอักเสบเรื้อรัง โดยที่ไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเรื้อรัง จนทำให้เส้นเอ็นฉีกขาด ถึงขั้นต้องผ่าตัดได้
โดยบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรครองช้ำ ว่ารองช้ำคืออะไร ? สาเหตุของปัญหาอาการเจ็บแปล๊บที่ส้นเท้าและฝ่าเท้านั้นมาจากไหน ? แล้วอาการมันเป็นยังไง ? พร้อมวิธีดูแลตัวเองเพื่อลดอาการเจ็บในทุกก้าวที่เดิน
โรครองช้ำคืออะไร ?
โรครองช้ำ (Plantar Fascia) หรือพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ เป็นหนึ่งในโรคทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุของอาการเจ็บส้นเท้าหรือฝ่าเท้าที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อพังผืดใต้ฝ่าเท้า โดยเฉพาะบริเวณพังผืดรองฝ่าเท้าที่ยึดกับกระดูกส้นเท้า ซึ่งโรครองช้ำเป็นอาการที่พบบ่อยในกลุ่ม ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน นักวิ่ง หรือวัยกลางคน
โดยทั่วไปโรคนี้ เป็นโรคที่สามารถหายได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา หากได้รับการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 6-12 เดือน ซึ่งการได้รับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์ จะทำให้อาการหายเร็วขึ้น และสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเรื้อรังได้ รวมถึงการดูแลฝ่าเท้าอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้อัตราการกลับไปเป็นซ้ำน้อยลงอีกด้วย
สาเหตุของการเกิดโรค
เรามาดูปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรครองช้ำ เพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทัน และดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรครองช้ำได้
1. การใช้งานร่างกายที่มากเกินไป จนร่างกายทนไม่ไหว เช่น การยืนหรือเดินนานเกินไป การฝึกวิ่งที่หักโหมจนเกินไป เป็นต้น
2. เดินหรือวิ่งกระแทกส้นเท้าจนเป็นนิสัย โดยสาเหตุนี้มักพบในคนที่ชอบเดินหรือวิ่งก้าวยาว ๆ ทำให้จังหวะการลงของเท้า มีการกระแทกอย่างรุนแรงที่ส้นเท้า
3. การวิ่งบนพื้นแข็งโดยไม่ใส่รองเท้า ทำให้ส้นเท้าและฝ่าเท้าต้องรับแรงกระแทกสูง
4. การใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ รองเท้าที่พื้นบางจนเกินไป หรือ ใส่ส้นสูงบ่อย ๆ
5. น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน ในคนอ้วนมีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากแรงกระแทกนั้น จะแปรผันตามน้ำหนักตัวที่ลงไปบนส้นเท้า
6. โครงสร้างร่างกายที่ผิดปกติ เช่น อุ้งเท้าสูงโก่งผิดปกติ เท้าแบนและคว่ำ ส้นเท้าบิดออกด้านนอก เป็นต้น ซึ่งส่งผลทำให้รูปแบบการเดินผิดปกติ
7. ไขมันบริเวณส้นเท้าฝ่อตามอายุ ซึ่งเป็นปกติของภาวะเสื่อมตามวัย แต่มีส่วนทำให้อุ้งเท้าและฝ่าเท้าได้รับแรงกระแทกจนเกิดเป็นภาวะอักเสบหรือบาดเจ็บของพังผืดใต้ฝ่าเท้า ในเวลาต่อมา
8. ภาวะเอ็นร้อยหวายหดตึง หรือกล้ามเนื้อบริเวณน่องหดตึง
9. ภาวะกระดูกงอกบริเวณกระดูกส้นเท้า
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรครองช้ำ
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรครองช้ำมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่
1. ผู้สูงอายุ เนื่องจากพังผืดที่เท้ามีความยืดหยุ่นน้อยลง
2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ทำให้พังผืดฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
3. ผู้ประกอบอาชีพที่ต้องยืนหรือเดินเยอะ เป็นสาเหตุที่ทำให้ทำให้พังผืดฝ่าเท้าตึง
4. ผู้ที่มีอุ้งเท้าสูงหรือแบนผิดปกติ หรือส้นเท้าบิดออกด้านนอก
5. นักกีฬา เช่น นักวิ่ง นักฟุตบอล นักเทนนิส นักเต้น เป็นต้น
ลักษณะอาการ
ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่ มักมีอาการคล้าย ๆ กัน โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคลดังนี้
1. ตอนตื่นนอนมัก มีอาการปวดบวม ตึง และเจ็บแปล๊บคล้ายกับโดนอะไรมาทิ่มแทง บริเวณส้นเท้าหรือฝ่าเท้า หรือในบางรายอาจปวดแบบโดนของร้อน ๆ สัมผัส ตามแนวแถบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า
2. รู้สึกปวดหรือเจ็บส้นเท้า เมื่อยืนหรือเดิน 2-3 ก้าวแรกของวัน หรืออาจะเป็นหลังจากการนั่งนาน ๆ
3. อาการจะรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่ได้เดินสักพัก หรือทำการยืดเหยียดฝ่าเท้า แต่ก็อาจจะกลับมาปวดอีกครั้ง ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน ซึ่งอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่แบบนี้
4. รู้สึกเจ็บบริเวณส้นเท้าด้านใน เมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ๆ และมีจุดกดเจ็บที่บริเวณส้นเท้าด้านในใกล้กับอุ้งเท้า ซึ่งอาจมีอาการบวม แดง บริเวณจุดเกาะพังผืดอักเสบ
หากมีอาการเหล่านี้ แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาอยากถูกวิธี อย่าปล่อยให้เรื้อรัง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันนะคะ
วิธีป้องกัน
ทีนี้มาดูกันว่า มีวิธีอะไรบ้างที่สามารถทำให้เรา ห่างไกลจากโรคนี้ และป้องกันเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
1. หลีกเลี่ยงการเดินหรือวิ่งด้วยเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง
2. เลือกรองเท้าให้พอดีกับเท้า ไม่รัดแน่นเกินไป สวมใส่สบาย เหมาะกับชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยลดแรงกระแทก จากการออกกำลังกายหรือเดินมากเกินไป หรือสามารถสวมใส่รองเท้าส้นนิ่ม และใช้แผ่นรองเท้า
3. ควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยสามารถคำนวณได้จากดัชนีมวลกาย (BMI) ด้วยการเอาน้ำหนักตัวหน่วยกิโลกรัม หารกับส่วนสูงที่เป็นหน่วยเมตรยกกำลังสอง ซึ่ง BMI ที่แนะนำควรอยู่ในช่วง 18.5 – 24.9 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงน้ำหนักที่ปกติและมีสุขภาพดี เช่น น้ำหนัก 60 กิโลกรัม สูง 1.58 เมตร การคำนวณค่า BMI = 60/(1.58x1.58) = 24 เป็นต้น
4. พยายามหลีกเลี่ยงหรือหยุดพักกิจกรรมและกีฬา ที่ต้องใช้ฝ่าเท้าเป็นเวลานาน เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น รวมถึงปรับท่าวิ่งให้ก้าวสั้นลง และพยายามเปลี่ยนมาลงน้ำหนักให้เต็มฝ่าเท้า แต่ไม่ลงน้ำหนักมากจนเกินไป
5. หมั่นกายภาพบำบัด นวดคลึง ยืดกล้ามเนื้อน่องและพังผืดฝ่าเท้าเป็นประจำทุกวัน ค้างไว้ 15 วินาที จำนวน 10-20 ครั้งต่อท่า ทำสลับกันทั้งเท้าซ้ายและขวา
6. แช่เท้าด้วยน้ำอุ่นทุกวัน เช้าและเย็น ครั้งละ 15-20 นาที โดยควรแช่น้ำให้มิดข้อเท้าและเอ็นร้อยหวาย
7. สาว ๆ ทั้งหลายควรหลีกเลี่ยง การสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน หรือสวมรองเท้าส้นสูงมาก ๆ หากมีเวลาพัก ควรถอดรองเท้าออก เพื่อพักเท้า
8. ผู้ที่มีเท้าผิดรูป เช่น ฝ่าเท้าแบนหรือโก่งเกินไป ควรตัดรองเท้าพิเศษ ให้เข้ากับรูปเท้า
วิธีการรักษา
วิธีรักษาโรค คือ แพทย์จะวินิจฉัยก่อนทำการรักษาว่า เราไม่ได้เป็นโรคอื่น ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ที่สามารถทำให้เกิดการปวดบริเวณฝ่าเท้าได้เช่นกัน และเมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรครองช้ำแน่ ๆ แล้ว แพทย์จะทำการรักษาดังนี้
1. รับประทานยา ได้แก่ ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลดการอักเสบ
2. บริหารยืดเหยียดฝ่าเท้าและเอ็นร้อยหวาย
3. แพทย์จะแนะนำให้ พักการเดินหรือวิ่ง และลดน้ำหนัก โดยควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน
4. ประคบเย็น โดยใช้น้ำแข็งประคบ เป็นเวลา 20 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อช่วยลดอาการปวดบวม
5. ใช้วิธีการรักษาแบบ insoles หรือแผ่นเสริมใต้ฝ่าเท้า (foot orthosis) ที่เหมาะสมกับรองเท้า
6. ใส่เฝือกอ่อนชั่วคราว เพื่อลดการเคลื่อนไหวและการอักเสบในช่วงแรก
7. ทำกายภาพบำบัด โดยใช้ความร้อนแบบอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound therapy) ดัดยืดที่เส้นเอ็นของฝ่าเท้า และใช้ไม้เท้าช่วยพยุงการเดิน
8. รักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock-wave therapy) โดยใช้คลื่นเสียงกระตุ้นบริเวณจุดเกาะพังผืดฝ่าเท้า ให้เกิดการสมานตัวและลดการอักเสบ ซึ่งผลการรักษามีความใกล้เคียงกับการผ่าตัด
9. หลีกเลี่ยงการฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์
หากได้รับการรักษาทั้งหมดตามที่ได้กล่าวไป นานกว่า 6 เดือน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาทำการรักษา โดยใช้การผ่าตัด ซึ่งมีทั้งการผ่าแบบเปิดหรือใช้กล้อง เพื่อเลาะจุดเกาะพังผืดของฝ่าเท้า ที่จะช่วยให้การอักเสบและอาการปวดหายไป
สุดท้ายนี้เมื่อเราหายสงสัยแล้วว่าโรครองช้ำคืออะไร ? แล้วต้องดูแลปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ? ก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำ และหากเริ่มมีอาการปวดขึ้นมา ก็อย่าฝืน ควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูจากอาหารบาดเจ็บ ซึ่งการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้เราก้าวเดินได้อย่างมั่นใจและไม่เจ็บอีกต่อไป และหากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หรือมองหาประกันสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/ihealthy-ultra
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
· โรงพยาบาลเมดพาร์ค
· โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
· โรงพยาบาลแพทย์รังสิต
· โรงพยาบาลสมิติเวช
