ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
10 ธันวาคม 2567

ผิวลอก หน้าลอกเป็นขุย เสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังเซ็บเดิร์ม

เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยมีอาการผิวลอก หน้าลอก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้าหรือลำตัว แต่ถ้าหากมีอาการบ่อยครั้ง นั่นแปลว่า ผิวหนังอาจมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเซ็บเดิร์ม วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมารู้จักกับโรคเซ็บเดิร์ม อาการของโรค รวมถึงวิธีการดูแลตนเอง เมื่ออาการของโรคกำเริบกัน

มารู้จักกับโรคเซ็บเดิร์ม

โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือโรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อย แต่ไม่มีสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด ซึ่งโรคเซ็บเดิร์ม มักจะเกิดขึ้นบริเวณศีรษะและบริเวณที่มีต่อมไขมันเป็นจำนวนมาก อย่างใบหน้า ข้างหู จมูก คิ้ว หน้าอก แผ่นหลัง หลังหู บริเวณข้อพับของร่างกาย เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โรคอาจลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น จากศีรษะลุกลามมายังหน้าอก

โรคเซ็บเดิร์มมีอาการอย่างไร

·       ผิวหนังลอกเป็นขุยสีขาวหรือสีเหลือง มีอาการปวด แดงและคัน

·       ผิวหนังที่เกิดอาการจะมันเป็นแผ่นและมีสะเก็ดวง ๆ สีขาว สีเหลืองและสะเก็ดแข็งขึ้น

·       เมื่อผิวหนังตกสะเก็ดจะกลายเป็นรังแคบริเวณศีรษะ คิ้ว หรือหนวดเครา ซึ่งจะยิ่งเห็นได้ชัดตอนที่เกา เพราะสะเก็ดจะหลุดออกมามากขึ้น

·       มีอาการผมร่วง

·       เมื่อเกิดขึ้นบริเวณเปลือกตา จะส่งผลให้เปลือกตาอักเสบ

สาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม

ในปัจจุบันโรคเซ็บเดิร์มยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งมีความเป็นไปได้จากปัจจัยหลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน เช่น

  • ภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • เชื้อราส่วนเกินบนผิวหรือปฏิกิริยาการอักเสบของยีสต์ Malassezia ส่วนเกินบนผิวหนัง
  • ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลให้ผิวเสียสมดุล และเซ็บเดิร์มสามารถส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมได้ ถ้าหากคนในครอบครัวมีคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่คนในครอบครัวจะป่วยเป็นโรคเซ็บเดิร์มมากยิ่งขึ้น  
  • ระดับของฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน
  • ฝุ่นและมลภาวะ
  • ผิวหนังโดนสารซักฟอก สารเคมีอย่างรุนแรง
  • สภาพอากาศ เพราะสภาพอากาศที่ร้อนอาจทำให้ต่อมไขมันบริเวณใบหน้าและอื่น ๆ ผลิตไขมันออกมามากกว่าเดิม ในขณะที่อากาศหนาวจะส่งผลให้ผิวของเราแห้งยิ่งขึ้นและไปกระตุ้นให้อาการกำเริบได้เช่นกัน
  • การใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลิเทียม (Lithium) หรือยาคลอร์โปรมาซีน (Chlorpromazine) โดยยาสองชนิดนี้อยู่ในกลุ่มยาต้านอาการทางโรคจิตเวช (Antipsychotics) ที่มีผลข้างเคียงอย่างผิวลอก ผิวอักเสบ เป็นต้น
  • เป็นผลพวงมาจากโรคอื่น ๆ เช่น ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลงจากการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยเอชไอวี พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

 

ใครที่มีความเสี่ยงต่อโรคเซ็บเดิร์ม

โรคเซ็บเดิร์ม สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากที่สุดในทารกแรกเกิดอายุต่ำกว่า 3 เดือน และผู้ใหญ่ในช่วงวัย 30 ถึง 60 ปี โดยส่วนมากจะพบได้บ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สำหรับเด็กที่เป็นโรคเซ็บเดิร์ม จะมีอีกชื่อที่เรียกว่า ไขบนหนังศีรษะทารก (Candel Cap) โดยอาการจะหายไปเมื่อโตขึ้นก่อนอายุ 1 ปี แต่ในผู้ใหญ่ อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ กินระยะเวลาหลายปี ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

 

โรคเซ็บเดิร์มและสะเก็ดเงิน ต่างกันอย่างไร

เพราะว่าลักษณะและอาการของโรคเซ็บเดิร์มและสะเก็ดเงินนั้นมีความใกล้เคียงกันมาก รวมถึงโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและโรคโรซาเซีย เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ แพทย์จะทำการตรวจสอบ ขูดเอาตัวอย่างเซลล์ผิวบริเวณรอยโรค และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อแยกแยะโรคที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแต่ละโรคจะมีอาการต่างจากโรคเซ็บเดิร์มดังนี้

  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นสะเก็ดนูนหนา มีลักษณะสีขาวออกเงิน แต่โรคเซ็บเดิร์มมักทำให้เกิดรังแค มีผื่นขึ้น ผิวหนังแดง เป็นต้น
  • โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) เป็นโรคอักเสบบริเวณผิวหนัง พบได้บ่อยในเด็ก โรคนี้จะมีอาการเด่นชัดคือ คันมากและคันตลอดเวลา นอกจากนั้นยังมีตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง หากมีการติดเชื้อ แตกต่างจากโรคเซ็บเดิร์มที่จะมีขุยสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปกคลุมบริเวณที่เกิดอาการและมีความมันของผิวมากกว่า
  • โรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย (Rosacea) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่ปรากฏเป็นรอยแดงและมีตุ่มนูนคล้ายสิวบนใบหน้า แต่ไม่ลอกเป็นขุยเหมือนโรคเซ็บเดิร์ม 

วิธีการดูแลตนเองและการรักษาเมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์ม

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มนั้น จะมุ่งเน้นไปที่การประคับประคองอาการ เพราะอาการที่แสดงออกมา กินระยะเวลานานหลายปี ถึงแม้ว่าจะรักษาหายก็ยังกลับมาเป็นได้อีก โดยวิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์ม มีดังนี้

1.        การทำความสะอาด ควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอย่างเดียว หรือใช้สบู่อ่อน ๆ และทำความสะอาดอย่างเบามือที่สุด เพื่อป้องกันการระคายเคือง และหลังจากอาบน้ำควรเช็ดตัวให้แห้งเพื่อป้องกันการอับชื้น

2.        การใช้แชมพูสระผม ถ้าเกิดอาการบริเวณที่ศีรษะ ควรเลือกใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Zinc Pyrithione หรือ Selenium Sulfide หรือควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้แชมพู เพราะแชมพูแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกันไป

3.        การใช้ครีมบำรุงหรือโลชั่น นอกจากการทำความสะอาดร่างกายแล้ว การรักษาความชุ่มชื้นก็เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลผิวที่อักเสบ โดยสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย อ่อนโยนต่อผิว ไม่ผสมน้ำหอม แอลกอฮอล์ เช่น การทาออยล์สำหรับเด็ก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการระคายเคือง

4.        หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด ๆ  แม้แสงแดดจะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนัง แต่ถ้าผิวโดนรังสีจากแดดที่แรงจัดอาจจะทำให้อาการแย่ลงได้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจจะสวมหมวก กางร่ม หรือใส่เสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันแสงแดดโดนผิวหนังโดยตรง และควรเลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เนื้อผ้าเรียบลื่น เพื่อเป็นการป้องกันการระคายเคืองที่เกิดจากเนื้อผ้า

5.        งดการพอกหน้า ทรีตเมนต์หรือการขัดหน้า เพราะผิวหนังที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มจะอ่อนแอมาก การขัดหน้าและพอกหน้าจะส่งผลให้ผิวหน้าระคายเคืองและอาการกำเริบขึ้น

6.        พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับพักผ่อน 7 – 8 ชั่วโมง ผ่อนคลายความเครียดและออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายซ่อมแซมผิวหนังได้อย่างเต็มที่และลดการกำเริบของโรค

7.        พบแพทย์เฉพาะทาง ถ้าอาการไม่ดีหรือรุนแรงขึ้นเช่น มีอาการคันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมร่วงที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนั้น แพทย์จะรักษาด้วยยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา และยาที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบทั้งกลุ่มสเตียรอยด์และไม่ใช่สเตียรอยด์

ถึงแม้ว่าโรคเซ็บเดิร์มจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะสร้างความรำคาญใจ ความกังวลและทำให้สูญเสียความมั่นใจได้เพราะเป็นโรคที่ไม่รู้ว่าอาการจะกำเริบเมื่อไหร่ การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์มจะช่วยให้สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้  สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       เว็บไซต์ Pobpad

https://bit.ly/4ao0vvu

·       โรงพยาบาลสมิติเวช

https://bit.ly/3PuWHk0

·       Clevelandclinic

https://cle.clinic/3PuWrS8

·       โรงพยาบาลวิมุต
https://bit.ly/4a3Vqse

·       Mayo Clinic
https://bit.ly/3IPVAre

บทความสุขภาพที่สำคัญ