เพราะประเทศไทยและแสงแดดเป็นของคู่กัน ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศอย่างเรา ๆ คงต้องมีโดนแดดบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงานในตอนเช้า หรือว่าออกไปพักทานอาหารในตอนเที่ยง แต่รู้หรือไม่ว่าแสงแดดนั้นเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งผิวหนัง วันนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกับโรคมะเร็งผิวหนังกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องผิวของคุณให้ปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้
มะเร็งผิวหนังคืออะไร
มะเร็งผิวหนังเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่แบ่งตัวผิดปกติ มักเกิดจากการที่ผิวหนังของเราโดนทำลายด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มะเร็งผิวหนังสามารถเกิดได้ทุกส่วนของผิวหนังของเรา โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดดหรือไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมนั่นเอง เช่น ใบหน้า คอ แขน ขา มือ นอกจากนี้เรายังสามารถพบมะเร็งผิวหนังได้ที่ริมฝีปาก เยื่อปาก จมูก เยื่อบุลูกตา ตลอดจนเล็บได้อีกด้วย
มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด แต่ที่เราพบบ่อยจะมี 3 ชนิด ด้วยกัน ได้แก่ มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma), มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma) และเซลล์มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น สาเหตุหลัก ๆ ในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังคือ การรับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) แสงแดดมากเกินไป เพราะรังสี UV สามารถทำลาย DNA ของเซลล์ผิวหนังได้ และเมื่อ DNA ถูกทำลายเซลล์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและกลายพันธุ์ ทำให้เซลล์ผิวหนังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดเนื้องอกเนื้อร้ายและเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ก่อเกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง
· คนผิวขาว: คนที่มีสีผิวขาว ผมสีอ่อน และดวงตาสีอ่อน เช่น ฝรั่ง จะไวต่อความเสียหายจากรังสียูวีและมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนผิวสีอื่น เนื่องจากมีเม็ดสี (เมลานิน) ที่ทำหน้าที่ช่วยปกป้องรังสี UV จากแสงแดดน้อยกว่าคนผิวเหลืองและผิวเข้ม
· แสงแดด (UV Exposure): ไม่ว่าจะเป็นการโดนแดดที่แรงจัดเป็นครั้งคราว หรือการโดนแดดสะสม และถ้าหากมีประวัติเป็น Sunburn ผิวไหม้พุพองหรือเป็นตุ่มน้ำก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่แนะนำให้อาบแดด
· มีไฝหรือขี้แมลงวันมากผิดปกติ
· มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง: เนื่องจากโรคมะเร็งผิวหนังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
· โรคทางพันธุกรรมบางโรค ที่ไม่สามารถจัดการกับ DNA ของเซลล์ที่ถูกทำลายโดยแสงแดด
· คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน: คนกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ ความสามารถในการต่อสู้และจัดการกับเซลล์มะเร็งจึงน้อยกว่าคนทั่วไป
· ได้รับรังสีที่เป็นอันตรายติดต่อกันนาน ๆ เช่น รังสีรักษา (การใช้รังสีในการรักษาโรค)
· มีประวัติการถูกสารเคมี เช่น สารหนู ยาฆ่าแมลง ยางมะตอยราดถนน Polycyclic Aromatic Hydrocarbon หรือสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน ๆ
· การสูบบุหรี่
· การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหูด มีรายงานว่าหากติดเชื้อนี้เรื้อรัง รอยโรคสามารถกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้
· การมีแผลเรื้อรัง
อาการและสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งผิวหนัง
· มีไฝที่ผิดปกติเกิดขึ้นใหม่หรือไฝเดิมมีการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง สี มีเลือดออกหรือแตกเป็นแผล
· มีตุ่มรูปร่างผิดปกติตามผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่โดนแดด เช่น ใบหน้า หู ลำคอ รวมถึงตุ่มนูนเกิดขึ้นใหม่ที่แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนก็ไม่หาย
· มีรอยลักษณะเหมือนแผลหรือแผลเป็นที่ไม่หายเองตามผิวหนัง
· มีสะเก็ดแข็งบริเวณผิวหนัง มีรอยบุ๋มหรือมีเลือดออก
· มีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย
ลักษณะของมะเร็งชนิดต่าง ๆ
1. มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma) มะเร็งผิวหนังชนิดนี้เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในคนไทย มักพบบริเวณใบหน้า คอและมือ ลักษณะที่พบได้บ่อยคือ มีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง หรือสีดำ ลักษณะผิวมัน ตรงกลางอาจแตกเป็นแผล และมักจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ ทำให้มีเลือดออกได้ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย มะเร็งชนิดนี้มักจะโตช้า
2. มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma) เป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่พบรองลงมาจากชนิดเบซัลเซลล์ ลักษณะมีได้ตั้งแต่เป็นผื่น เป็นปื้นสีแดง มีขุยหรือสะเก็ต บางรายเป็นแผลถลอกตรงเยื่อบุ (Mucosa) บางรายเป็นตุ่มหรือก้อนเนื้อที่โตขึ้นโดยเนื้อมีสีชมพู แดง หรือสีเนื้อ เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกเจ็บ เลือดออกได้ง่าย รวมถึงแผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด มะเร็งผิวหนังชนิดนี้โตเร็วกว่าชนิดเบซัลเซลล์และสามารถลุกลามไปอวัยวะอื่นได้
3. เซลล์มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) เป็นมะเร็งของเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่ร้ายแรงที่สุด โดยสามารถกระจายสู่อวัยวะอื่นๆ จนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ พบได้มากขึ้นในประชากรไทยโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ในระยะเริ่มต้นอาจจะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวันที่เกิดขึ้นใหม่ หรือเป็นไฝ กระ ในบริเวณเดิมที่มีอยู่แล้วแต่เกิดการเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม ขยายเร็วผิดปกติ ขอบเขตไม่เรียบ สีไม่สม่ำเสมอ หรือมีหลายสีผสมกัน โดยสามารถแตกเป็นแผลและมีเลือดออกได้
วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
การป้องกันมะเร็งผิวหนังจะเน้นไปที่การป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการโดนแดด โดยมีวิธีดังนี้
· สวมเสื้อผ้าให้มิดชิดและสิ่งที่ป้องกันแสงแดดได้ เช่น ร่มกัน UV หมวก เสื้อแขนยาว ปลอกแขนกันแดด และแว่นกันแดด รวมถึงการทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านหรือก่อนที่จะโดนแดดอย่างน้อย 15 นาที และใช้กันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป และหากต้องโดนแดดต่อเนื่อง ให้ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
· หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ปริมาณรังสียูวีมีความเข้มข้นและเป็นอันตรายต่อผิวมากที่สุด
· หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือรับประทานอาหารที่เจือปนสารก่อมะเร็งอย่างยากำจัดศัตรูพืชที่มีสารออร์กาโนตกค้าง อาหารทะเล อาหารที่ถูกห่อด้วยกระดาษที่มีหมึกพิมพ์ เมนูทอดที่ใช้น้ำมันเดิมทอดซ้ำ ๆ กล่องโฟมบรรจุอาหาร และผลไม้ตระกูล Cirtus หรือตระกูลส้ม เป็นต้น
· งดสูบบุหรี่
· หมั่นตรวจร่างกายและสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เมื่อมีบริเวณไหนเปลี่ยนแปลง ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์
วิธีการตรวจมะเร็งผิวหนัง
· การตรวจเบื้องต้นและสังเกตด้วยตนเอง ลองสังเกตความผิดปกติของผิวหนังว่ามีตุ่มเนื้อที่ดูผิดปกติหรือไม่ มีแผลเรื้อรังตามร่างกาย หรือบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดไหม รวมถึงสังเกตลักษณะของความผิดปกติว่ามีการขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วหรือไม่ หากมีความผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กเพิ่มเติม
· การตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของไฝ ฝ้า กระ หรือจุดผิวหนังอื่น ๆ ที่มีอยู่ และตรวจร่างกายผิวหนังทั้งตัว รวมถึงหนังศีรษะ ใบหู ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ระหว่างนิ้วเท้า รอบอวัยวะเพศ หากพบความผิดปกติ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณที่ต้องสงสัยไปตรวจ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนังหรือไม่
โรคมะเร็งผิวหนังรักษาได้อย่างไรบ้าง
การรักษามะเร็งผิวหนังขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด ตำแหน่ง และระยะของมะเร็ง รวมถึงยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ สุขภาพ โรคประจำตัว เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยวิธีรักษามะเร็งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายวิธี เช่น
1. การผ่าตัด
การผ่าตัดเป็นการรักษาหลักที่ใช้มากที่สุดในทุกประเภทของมะเร็งผิวหนัง เพราะมีประสิทธิภาพสูงและสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยแพทย์จะผ่าตัดก้อนมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หลังจากนั้นจะเย็บปิดแผลหรือทำการปิดด้วยผิวหนังส่วนอื่นเพื่อให้ฟื้นฟูแผลได้เร็วขึ้น
2. การผ่าตัดด้วยไมโครกราฟิก Mohs (Mohs Micrographic Surgery)
การผ่าตัดด้วยวิธี Mohs เป็นการผ่าตัดเทคนิคพิเศษที่พยายามรักษาเนื้อดีให้ได้มากที่สุด โดยขณะผ่าตัดจะมีการส่งชิ้นเนื้อตรวจทันที แบบ Real time จนกว่าจะเอาก้อนมะเร็งออกได้หมด ซึ่งต้องใช้แพทย์และทีมแพทย์เฉพาะทาง การรักษาประเภทนี้เหมาะกับมะเร็งที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายสูงและอยู่ในบริเวณจุดที่ละเอียดอ่อนอย่างรอบตา จมูก ปาก หน้าหู ใบหู หรือตำแหน่งที่มะเร็งมีการกลับเป็นซ้ำ
3. การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า
เหมาะกับผู้ป่วยที่มีมะเร็งผิวหนังชนิดเสี่ยงต่ำ ขนาดค่อนข้างเล็กและตื้น โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีขอบเป็นวงแหลมคว้านบริเวณเนื้อร้ายออกเพื่อขจัดเซลล์มะเร็ง จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้รักษาต่อ
4. การบำบัดด้วยรังสี (Radiation Therapy)
การรักษานี้จะใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถผ่าตัดออกให้หมดได้ รวมถึงการป้องกันการกลับมาเกิดซ้ำ มักใช้กับผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยง
5. เคมีบำบัดหรือการทำคีโม (Chemotherapy)
เป็นการรักษาโดยใช้ยาต้านมะเร็งชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดมาประกอบเป็นสูตรยาเคมีบำบัด การให้ยาเคมีบำบัดจะมีฤทธิ์ทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
6. การบำบัดด้วยแสงโฟโตไดนามิก (Photodynamic Therapy)
เป็นการรักษาด้วยวิธีฉายแสง โดยก่อนการฉายแสงแพทย์จะทายาบนรอยโรคมะเร็ง แล้วฉายแสงความเข้มข้นสูงลงไป เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาการทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้กับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ หรือสะความัสเซลล์ ที่มีปริมาณรอยโรคจำนวนมาก หรือหลายตำแหน่งบนร่างกาย
มะเร็งผิวหนังเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวกว่าที่คิดและอาจร้ายแรงขึ้นได้ถ้าเราไม่ป้องกัน ดังนั้นเราจึงควรพยายามป้องกันผิวหนังจากรังสี UV รวมถึงทำความเข้าใจสาเหตุ ปัจจัยและวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราห่างไกลจากการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
ตรวจสอบความถูกต้องของบทความโดย
พญ.จันทณัชธน์ วิทวัสชัยกุล
แผนกเฉพาะทาง แพทย์เฉพาะทางผิวหนังตจวิทยา ตจศัลยศาสตร์ และมะเร็งผิวหนัง
โรงพยาบาลสุขุมวิท
แหล่งที่มาของข้อมูล
· World Health Organization
· Skin Cancer Foundation
https://bit.ly/3QX7zsz
· National Cancer Institute
· Mayo Clinic
· Pobpad
https://bit.ly/45CVMDM
https://bit.ly/3OR6L5P
· Bangkok Hospital Pattaya
· American Cancer Society.
· University of UTAH
