ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
20 สิงหาคม 2566

อาการของโรคซิฟิลิส หนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ควรมองข้าม

 

โรคซิฟิลิสเป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถติดกันได้ทุกเพศ ซึ่งเป็นโรคที่ต้องระวัง และใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะอาการที่เกิดจากโรคนี้ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตในระยะยาว วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจและรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น พร้อมกับเรียนรู้วิธีการป้องกันการติดเชื้ออีกด้วย

 

มารู้จักกับต้นตอของโรคซิฟิลิส

              โรคซิฟิลิส (Syphillis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ ทรีโปนีมา พาลลิดัม (Treponema Pallidum) โดยเป็นแบคทีเรียที่มีลักษณะรูปร่างเป็นเกลียวสว่านขนาดเล็ก เมื่อเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าสู่ร่างกายสามารถลุกลามไปได้ทุกส่วนของร่างกาย เชื้อนี้จะติดต่อผ่านทางบาดแผลและการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโดยที่ไม่ได้ป้องกัน แต่จะไม่ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งเหมือนกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

                  การติดต่อจากคนสู่คนจะเกิดขึ้นจากการสัมผัสแผลโดยตรงที่มีเชื้อซิฟิลิส ซึ่งแผลนี้จะอยู่ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เช่น ช่องคลอด ปากทวารหนัก หรือทวารหนัก รวมถึงแผลที่เกิดขึ้นตรงริมฝีปากและช่องปากเช่นกัน ทำให้สามารถติดเชื้อต่อผ่านกันได้ทั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนักและทางปาก แต่เชื้อนี้จะไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางอ้อม เช่น การนั่งโถส้วม การจับลูกบิดประตู การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน การใช้อ่างอาบน้ำร่วมกัน เสื้อผ้าหรือช้อนส้อม เป็นต้น

 

4 ระยะของโรคซิฟิลิส

ระยะโรคของซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

·       ระยะที่ 1 (Early/Primary Syphilis) ผู้ป่วยจะเริ่มมี “แผลริมแข็ง” (Chancre) คือ แผลขนาดเล็กในบริเวณที่ได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะไม่เจ็บ ขอบแผลมีลักษณะเรียบและแข็ง ขอบยกนูน โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศและริมฝีปาก ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มมาหลังได้รับเชื้อประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ก็อาจจะพบอาการได้ในช่วง 10-90 วันเช่นกัน ในระยะนี้ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บปวดและแผลก็จะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 6 สัปดาห์แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ป่วยรู้ตัวว่าได้รับเชื้อก็ควรไปพบแพทย์ เพราะถ้าหากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง อาการก็จะเข้าสู่ระยะที่ 2

·       ระยะที่ 2 (Secondary Stage)ระยะอาการนี้จะเริ่มพัฒนาจากระยะแรกประมาณ 1-3 เดือน โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นลักษณะตุ่มนูนคล้ายหูด ขึ้นตามฝ่ามือและเท้า อวัยวะเพศ หรือส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ขาหนีบ ทวารหนัก ภายในช่องปาก แต่ไม่มีอาการคันตามผิวหนัง บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ มีปื้นแผ่นสีขาวในปาก เป็นไข้  ต่อมน้ำเหลืองบวม  เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด ผมร่วง หรืออาการอื่น ๆ แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปแม้ไม่ได้รับการรักษาภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน

·       ระยะที่ 3 หรือ ระยะแฝง (Latent Syphilis) เป็นช่วงที่ไม่มีอาการของโรคแสดงออก แต่ผู้ป่วยจะยังมีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายและสามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด ซึ่งระยะเชื้อโรคสามารถแฝงอยู่ในร่างกายโดยไม่มีแสดงอาการออกมาเลยเป็นเวลาหลายปี และในที่สุดก็จะเข้าสู่อาการระยะสุดท้าย

·       ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis) หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็จะทำให้อาการลุกลามมาถึงระยะนี้ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนที่หัวใจ สมอง เส้นประสาท หรืออวัยวะหลายส่วนของร่างกายเมื่อเชื้อไปอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งจะนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น อัมพาต ตาบอด ภาวะสมองเสื่อม หูหนวก เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคหัวใจ เสียสติ และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

 

โรคซิฟิลิสสามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกได้หรือไม่

              โรคซิฟิลิสสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งผ่านทางรกและผ่านการติดเชื้อระหว่างคลอด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “โรคติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital Syphilis)” ซึ่งจัดว่าเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง และมีโอกาสร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกจะส่งผลต่อทารกได้ดังต่อไปนี้

·       ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด

·       ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือเสียชีวิตในตอนแรกเกิด

·       ทารกมีความผิดปกติ เช่น หูหนวก ตาบอด มีความผิดปกติทางโครงสร้างต่าง ๆ เช่น โครงสร้างฟันผิดปกติ หรือรูปร่างจมูกผิดปกติ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า จมูกแบบซิฟิลิส (Syphilis Nose) หรือจมูกอานม้า (Saddle Nose) คือส่วนของดั้งจมูกจะแฟบบุ๋มลงไป รวมไปถึงความผิดปกติในระบบประสาท

 

การติดเชื้อในกรณีนี้ก็สามารถตรวจพบและรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน (Penicillin) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้

 

วิธีการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส

              อย่างที่เรารู้กันแล้วว่าอาการของโรคซิฟิลิสถูกแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนั้นในการวินิจฉัยโรคแพทย์จะสอบถามข้อมูลทั่วไป เช่น อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วย พฤติกรรมด้านเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการตรวจร่างกายในเบื้องต้น ซึ่งแพทย์หรือพยาบาลจะตรวจดูบริเวณอวัยวะเพศหรือส่วนอื่นของร่างกายว่า พบแผลหรือความผิดปกติใด ๆ ที่เกิดจากโรคซิฟิลิสหรือเปล่า ก่อนจะสั่งตรวจเพิ่มเติมจากห้องปฏิบัติการ ได้แก่

·       การตรวจเลือด

เพื่อตรวจหาเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดของผู้ป่วย โดยในบางรายที่ผลการตรวจออกมาว่ามีการติดเชื้อ อาจต้องมีการตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากการตรวจครั้งแรก เพื่อยืนยันการติดเชื้อ

·       การเก็บตัวอย่างเชื้อ (Swab Test) 

ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดแผลหรือผื่นตามร่างกาย แพทย์อาจมีการเก็บตัวอย่างเชื้อบนผิวหนังหรือน้ำเหลืองจากแผล ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ หาเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส

 

บทความสุขภาพที่สำคัญ