ในปัจจุบันที่รอยสักมีความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการสักหลายสไตล์ เพื่อแฟชั่น หรือว่าเพื่อจุดประสงค์ใด จุดประสงค์หนึ่ง รวมไปถึงการสักเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นที่ไม่สวยงามให้ดูสวยงามขึ้นได้ แต่ถ้าหากเราไม่ระมัดระวังก็จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ วันนี้เราจึงนำความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน
การสักคืออะไร มีกลไกอย่างไร
การสัก คือการเขียนสีและลวดลายต่าง ๆ บนร่างกาย ซึ่ง รอยสัก อาจคงอยู่ชั่วคราวหรือถาวร การสักของแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายเฉพาะตัวและมีจุดประสงค์ที่ต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญคือ การสักที่ไม่ถูกวิธีจะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพเช่น ติดเชื้อ โรคติดต่อ การใช้เข็มที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยวิธีการสัก จะใช้เข็มเล็ก ๆ แทงผ่านชั้นหนังแท้ ปลายเข็มจะมีหมึกทุกครั้งที่เข็มแทงก็จะมีหมึกซึมลงชั้นใต้ผิวหนัง จึงเกิดเป็นลวดลายตามรอย
อันตรายจากการสัก
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะดูดี แต่การสักก็มีความเสี่ยงทำให้ผู้ที่สักเผชิญปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้เช่นกัน โดยอันตรายที่อาจเกิดจากการสัก ได้แก่
· การแพ้หมึกจากการสักหมึกสี โดยเฉพาะหมึกสีแดง เขียว เหลือง และน้ำเงิน ซึ่งสีแต่ละสีก็ทำจากสารที่ต่างกัน เช่น สีแดง ทำจากปีกของแมลง สีน้ำเงินทำจากเกลือโคบอลต์ สีดำทำมาจากถ่าน สีเหลืองทำจากแคดเมียม โดยผู้แพ้จะเกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง รวมถึงอาจมีผื่นคันบริเวณรอบรอยสัก เพราะสีเหล่านี้ไม่ได้ทำจากธรรมชาตินั่นเอง
· การติดเชื้อแบคทีเรีย หากรับการสักจากอุปกรณ์เครื่องสักและเข็มสักที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อ หรือเข้ารับบริการในร้านสักลายที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ผิวหนังเกิดการติดเชื้อหลังการสัก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสตาฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) โดยผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าวจะมีตุ่มฝีหนองขึ้นตามผิวหนัง
· การติดเชื้อไวรัส ถ้ารับบริการจากร้านที่เข็มไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสผ่านทางเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคติดต่ออันตรายจากเลือด เช่น การติดเชื้อเอชไอวี บาดทะยัก ไวรัสตับอักเสบบีและซี
· การเกิดคีลอยด์ การสักลายอาจทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ โดยจะเป็นแผลนูนที่อาจขยายขนาดและสร้างความเจ็บปวดได้ รวมไปถึงสามารถเกิดอาการคัน หรือระคายเคืองได้ โดยคีลอยด์เกิดจากกระบวนการรักษาแผลของมนุษย์
วิธีการดูแลตนเองหลังการสัก
เมื่อหลังจากสัก ต้องมีการป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่การเจ็บป่วยต่าง ๆ ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่างสัก ได้ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่ทาลงบริเวณรอยสักและปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลหรือไม่
2. ลอกพลาสเตอร์ออกหลังจากปิดแผลนาน 24 ชั่วโมง จากนั้นล้างแผลด้วยสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย พร้อมซับแผลให้แห้ง
3. ทาขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียบริเวณรอยสักวันละ 2 ครั้ง โดยไม่ต้องปิดพลาสเตอร์
4. ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยทำต่อเนื่องนาน 2-4 สัปดาห์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น
5. หลีกเลี่ยงการเสียดสีกับบริเวณที่สัก
6. หลีกเลี่ยงการออกแดด การอาบน้ำอุ่น และการว่ายน้ำเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้หมึกสีบริเวณรอยสักจางลง รวมถึงการระคายเคือง
7. ไม่ควรแกะ เกา หรือลอกสะเก็ดแผลบริเวณรอยสัก ถ้าเกิดพบเห็นรอยแดง ควรไปพบแพทย์ทันที
การสักชั่วคราว อีกหนึ่งทางเลือกของความสวยงาม
รอยสักชั่วคราว เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับกลุ่มคนที่อยากมีรอยสัก แต่ไม่อยากเจ็บ ไม่ทำลายผิว หรือว่าต้องการแบบที่ล้างออกและเลือนหายได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยการทำรอยสักชั่วคราว มีทั้งหมด 5 วิธีดังนี้
· Airbrush Tattoos คือการพ่นสีสเปรย์ ลงบนแผ่น สเตนซิล เพื่อให้ได้ลวดลายตามที่ต้องการ
· Paint on Tattoos เป็นการเพ้นท์สี โดยใช้การเพ้นท์หมึกลงบนผิว เหมือนการวาดรูป จะได้ลายที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถวาดได้ อยู่ได้ 1 อาทิตย์ สามารถล้างออกได้ด้วยออย
· Henna Tattoos การสักชั่วคราวแบบใช้เฮนน่า หรือสีธรรมชาติ เป็นวิธีการที่ทำในประเทศอินเดีย การวาด 1 ครั้ง จะอยู่ได้ 2 อาทิตย์
· Glitter Tattoo การสักแบบนี้ เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่อยากได้รอยสักมีประกาย ๆ โดยการลงรอยสักแบบนี้ จะใช้กาวชนิดพิเศษวาดลงบนผิวหนัง มีอายุ 1 อาทิตย์ แล้วก็ล้างออกยาก ดังนั้น ต้องรอ 1 อาทิตย์ รอยถึงจะจางลง
· Sticker Tattoos หรือ Transfer Tattoos เราคงรู้จักกันดีกับแทททู ที่เอาลายคว่ำลงบนผิวหนัง แล้วเอาน้ำลูบ ทิ้งไว้ 3 นาที รอแห้งแล้วลอกออก มีอายุอยู่ 3 วันเป็นอย่างต่ำก่อนลอกออก แต่ตอนนี้ มีหลายยี่ห้อที่เขาพัฒนา ให้สติกเกอร์แบบนี้ มีอายุเกินกว่า 3 วันด้วย
ความสวยงามเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่สำคัญด้วยเช่นกัน ฉะนั้นความสวยงามที่มาพร้อมกับการมีสุขภาพที่ดีและปลอดภัยย่อมจะดีกว่า สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลอ่างทอง
· เว็บไซต์พบแพทย์
· โรงพยาบาลรามาธิบดี
· Wikipedia
