การเติบโตของภาพใหญ่ อย่างเศรษฐกิจของประเทศ เริ่มต้นมาจากหน่วยเล็กที่สุดอย่างแรงงาน ถ้าประเทศไทยไม่มีระบบพัฒนาโครงสร้างตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง และตัวแรงงานไทยเองไม่ลุกขึ้นมาพัฒนาศักยภาพของตัวเอง การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศย่อมถดถอยลง
การปรับโครงสร้างตลาดแรงงานเพื่อช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งจะมีวิธีอะไรบ้าง และคนทำงานแบบเราจะได้ประโยชน์อย่างไรจากเรื่องนี้บ้างไปดูกัน
แต่ก่อนอื่นเราขอพาไปดูปัญหาโครงสร้างตลาดแรงงานว่ามีอะไรบ้าง ที่เป็นอุปสรรคทำให้โครงสร้างตลาดแรงงานไม่แข็งแกร่ง จนส่งผลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจกันก่อน
ปัญหาโครงสร้างตลาดแรงงานที่มีอยู่เดิม
● สัดส่วนผู้สูงวัย
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว จากข้อมูลพบว่า สัดส่วนผู้สูงวัยในปี 2560 มีการเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 31% เลยทีเดียว ขณะที่มีวัยทำงานเท่าเดิมหรือลดลง เป็นผลทำให้ขาดแคลนแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้
ส่วนด้านการลงทุนและการออม วัยทำงานต้องรับภาระมากขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้มีเงินออมน้อยลง และเงินลงทุนลดลง ภาครัฐบาลจึงจำเป็นต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการมากขึ้น เพื่อบริการสังคมทางด้านสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ และการเก็บภาษีรายได้น้อยลงเนื่องจากมีวัยผู้สูงอายุซึ่งไม่มีรายได้ มีสัดส่วนที่มากขึ้น ทำให้การลงทุนและการออมของประเทศลดลงด้วย
● เป็นแรงงานในภาคเกษตร
จากตลาดแรงงานทั้งหมด แรงงานในภาคเกษตรรายย่อยมีสัดส่วน 1 ใน 3 หรือนับว่าเป็นกลุ่มแรงงานที่ใหญ่มากเลยทีเดียว ซึ่งแม้ว่าประเทศไทยของเราจะเป็นเมืองเกษตรกรที่มีการปลูกข้าว และผลไม้ส่งออกจำนวนมาก แต่ด้วยสัดส่วนตลาดแรงงานที่มากเกินกว่ากลุ่มแรงงานอื่นๆ จนทำให้กลุ่มแรงงานอื่นขาดแคลนแรงงานที่จะเข้าไปพัฒนางานและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในภาคเกษตรยังเจอกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรมีปัญหาหนี้สินและความยากจนสูง
● เป็นแรงงานนอกระบบ
ในปี 2563 ตลาดแรงงานของไทยมีแรงงานนอกระบบ หรือแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในระบบประกันสังคม มีจำนวนมากถึง 20.4 ล้านคน หรือ 54% ของแรงงานทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งแรงงานนอกระบบที่มีสัดส่วนใหญ่ในตลาดแรงงานนี้ อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสภาวะทางสังคมของประเทศได้ เนื่องจากความเหลื่อมล้ำของรายได้ และโอกาสในการเพิ่มผลิตภาพของผู้ใช้แรงงาน
ดังนั้น การปรับโครงสร้างตลาดแรงงานจากปัญหาที่กล่าวมานั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน
3 กลไก ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถทำได้เต็มศักยภาพ หากเราไม่สามารถปรับโครงสร้างตลาดแรงงานที่สามารถสนับสนุนการปรับตัวและรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ ได้ จึงทำให้ภาครัฐและเอกชนมีกลไกการปรับโครงสร้างของตลาดแรงงานที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนี้
1. กลไกการบูรณาการกลไกเชิงสถาบัน (Institution)
การบูรณาการความร่วมมือเชิงสถาบันด้วยการสร้างระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน ผสานบทบาท ระหว่างภาครัฐ และเอกชน ผ่านการฝึกอบรมพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้อย่างลงตัว ตามแนวทาง Demand-Driven และพัฒนาทักษะแรงงานให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง
2. กลไกการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับตลาดแรงงาน (Infrastructure)
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานแบบครบวงจร เพื่อสะท้อนการทำงานของแรงงานในระดับรายบุคคล
จนสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนด้านทักษะแรงงาน และออกแบบนโยบายพัฒนาทักษะได้ตรงจุด โดยมีเครื่องชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนตามหลัก Data-Driven Policy
3. กลไกการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม (Incentive)
การออกแบบแรงจูงใจสามารถช่วยกระตุ้นให้คนที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานได้ โดยการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานแรงงาน ด้วยการควบคุมคุณภาพผ่านการกำหนดค่าตอบแทนที่เป็นไปตามหลัก Performance-Based และใช้ Performance Rating เป็นตัวชี้วัดประสิทธิผล และกำหนดสวัสดิการที่แรงงานต้องการเพื่อดึงดูดใจ
ซึ่งจากกลไกการปรับโครงสร้างตลาดแรงงานนั้น จะเห็นได้หนึ่งว่าการสร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานมีความสำคัญมาก เราจึงจะขอพาไปดูกันว่าเทรนด์สวัสดิการที่เป็นแรงจูงใจดึงดูดให้คนที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานและพัฒนาตลาดแรงงานให้แข็งแกร่งขึ้นกัน
สวัสดิการสุขภาพ แรงจูงใจมาแรงของคนมองหางาน
● Mental Health will be a Priority สุขภาพจิตต้องมาก่อน
ในช่วงปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตถูกให้ความสนใจมากยิ่งขึ้นในสถานที่ทำงาน เพราะปัญหาภาวะหมดไฟ ความเป็นพิษของสิ่งวอดล้อมในที่ทำงาน ที่ส่งผลเสียให้กับพนักงานในบริษัท ทำให้ต้องพบเจอกับปัญหาสุขภาพจิตมากมาย จึงทำให้ในปี 2024 หลายคนจึงต้องการสวัสดิการที่ครอบคลุมในด้านของสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น เช่น สนับสนุนการปรึกษาแพทย์ / ผู้เชี่ยวชาญ รณรงค์ลดใช้อารมณ์ที่รุนแรงในการทำงานเพื่อสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น
● Health Insurance ประกันสุขภาพ/ประกันกลุ่ม
ต้องยอมรับว่าหลายองค์กรในไทยยังผลักภาระเกี่ยวกับสุขภาพให้เป็นหน้าที่ของพนักงาน บางแห่งไม่มีแม้แต่ประกันสังคม ความต้องการของพนักงานอาจจะไม่ใช่ประกันสุขภาพที่ครอบคลุม แต่เป็นประกันสุขภาพที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้น การทำประกันสุขภาพให้กับพนักงานจึงเป็นเรื่องสำคัญในปี 2024 นี้
ซึ่งสำหรับค่าปรึกษาจิตแพทย์และค่ารักษาสุขภาพอื่นๆ ที่เราจะได้นั้น บริษัทจะทำการทำ ‘ประกันกลุ่ม’ ที่ครอบคลุมหลายๆ การรักษา เพื่อนำมาเป็นสวัสดิการจูงใจให้คนมาทำงานกับบริษัท และช่วยรับโครงสร้างตลาดแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อีกด้วย
‘ประกันกลุ่ม’ สวัสดิการสุขภาพที่เป็นตัวช่วยปรับโครงสร้างตลาดแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเป็นตัวช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายให้กับแรงงาน
● มีความคุ้มครองหลายด้าน
ประกันกลุ่มมีความคุ้มครองหลายด้านให้บริษัทได้เลือกให้กับพนักงาน โดยจะมีการให้ความคุ้มครอง ‘การเสียชีวิต’ ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุทั้งในและนอกเวลาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยบริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินเอาประกันภัยให้กับทายาทหรือผู้รับประโยชน์ของลูกจ้างที่ระบุไว้ และยังมีให้ความคุ้มครองค่าจ่ายด้าน ‘สุขภาพ’ ทั้งค่าชดเชยและค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติมคุ้มครอง ‘โรคร้ายแรง’ ได้อีกด้วย
● ไม่ต้องสำรองจ่าย
หากเราเกิดการเจ็บป่วยเพียงไปโรงพยาบาลและคลินิกในเครือข่าย แล้วยื่นบัตรประชาชนก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลสรุปรายการค่าใช้จ่ายแล้วหากไม่เกินวงเงินการรักษาก็สามารถรับยากลับบ้านได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่ายให้กระทบกับเงินในกระเป๋าเรา แต่หากมีค่ารักษาส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์ เราเพียงจ่ายส่วนต่างเท่านั้น ไม่ต้องสำรองจ่ายทั้งหมดแล้วรอการได้รับเงินคืนในภายหลัง
● ช่วยลดความกังวล
การไม่มีประกันกลุ่มอาจทำให้เราเกิดความเครียดจากการแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งความเครียดนี้อาจส่งผลให้เราทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และอาจสะสมจนไปถึงการลาออกเพื่อพักความวุ่นวายใจ หรือหางานใหม่ที่มีสวัสดิการด้านนี้ ซึ่งจะทำให้เรามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านอื่นๆ แน่นอน
อย่างไรก็ตาม กลไกในการปรับโครงสร้างตลาดแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยนี้ หากได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในระยะเวลาที่เหมาะสม ก็ช่วยทำให้เราได้ประโยชน์จากตรงนี้เช่นกัน แต่ในระหว่างนี้หากเรามีสวัสดิการประกันกลุ่มเราก็สามารถรับผลประโยชน์ได้เลย