ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในด้านต่างๆ ทั้งหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และโรคภัยต่างๆ ที่เข้ามาทำให้แผนการออมเงินของใครหลายคนต้องหยุดชะงักลงไป การมีทักษะทางการเงินที่ดีจะช่วยเป็นภูมิคุ้มกันทางด้านการเงินให้เราสามารถดูแลตัวเองและต่อยอดรายได้ในวันที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนได้ วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนมาเสริมภูมิคุ้มกันทางด้านการเงินให้แข็งแกร่ง ปรับแผนออมเงินให้ชนะอุปสรรคในใจและเศรษฐกิจ ด้วย ‘ประกันการออม’ ตัวช่วยออมเงินอย่างมีแบบแผนกัน
โดยก่อนอื่นเราขอพาไปดูตัวอย่างอุปสรรคการออมเงินอื่นๆ ที่ไม่จูงใจให้เราสามารถออมเงินไปจนสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้กันก่อนเริ่มปรับแผนออมเงินให้ชนะอุปสรรคในใจด้วยประกันการออมกัน
อุปสรรคการออมเงินที่ไม่จูงใจ
● เป้าหมายการออมเงินไม่ชัด
ผลสำรวจพบว่าแรงจูงใจสำคัญอันดับแรกในการออมเงินของทุกช่วงวัยของคนไทย คือ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าใช้เงินในอนาคตทำอะไร ซึ่งเป้าหมายในการออมเงิน 3 อันดับแรกของคนไทยนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเป้าหมายการออมเงินที่เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันอยู่แล้ว คือ การออมเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือเจ็บป่วยมากที่สุดที่ร้อยละ 36.7 รองลงมาคือการออมเพื่อใช้ในยามเกษียณที่ร้อยละ 34.9 และการออมเพื่อบริหารรายรับรายจ่ายตามฤดูกาลที่ร้อยละ 9.4 ดังนั้น เพียงแค่เราตั้งเป้าหมายการออมเงินที่ชัดเจน แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีจนเราต้องนำเงินออมออกหมุนให้เกิดสภาพคล่องก่อน เราก็ยังจะสามารถกลับไปออมเงินตามเป้าหมายนี้ได้เหมือนเดิม
● เงินออมไม่งอกเงย
ในช่วงที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวไม่รู้ว่าทิศทางจะดีขึ้นหรือแย่ลง การมีกระแสเงินสดในมืออาจทำให้ใครหลายคนอุ่นใจกว่าการนำเงินไปออมหรือไปลงทุน หากเงินนั้นไม่ได้ผลตอบแทนที่งอกเงยมากพอ คนก็อาจจะไม่อยากให้เงินไปจมไปอยู่ตรงนั้นนานๆ แต่หากเรารู้ว่าวิธีไหนจะทำให้เงินออมของเราได้ผลตอบแทนอย่างงอกเงยมากขึ้นได้ ก็อาจทำให้ใครหลายคนสนใจออมเงินควบคู่ไปกับการใช้จ่ายอย่างระวังในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนได้
● ไม่รู้ช่องทางการออมอื่นๆ
จริงๆ แล้วการออมเงินนั้นมีหลายวิธีมาก บางคนที่ไม่สามารถออมเงินได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเราไม่ชอบวิธีการออมเงินที่ทำอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีช่องทางไหนบ้าง ที่จะเหมาะกับการออมเงินของตัวเอง ซึ่งความไม่ชอบนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สามารถทำให้เราไม่มีแรงจูงใจในการออมเงิน ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจไหนก็ตาม
ซึ่งจากอุปสรรคการออมจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจนั้นส่งผลกับการการออมของเราหลายด้าน หากเราไม่มีแผนการออมรองรับไว้ การออมของเราก็มีโอกาสหยุดชะงักได้ วันนี้เราจึงมาชวนปรับแผนออมเงิน ให้ชนะอุปสรรคในใจและเศรษฐกิจด้วย ‘ประกันการออม’ ตัวช่วยออมเงินอย่างมีแบบแผนกัน
ประกันการออม คืออะไร
ประกันการออม หรือ ประกันออมทรัพย์ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ เป็นประกันชีวิตรูปแบบหนึ่งที่ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและโอกาสในการสะสมเงินไปพร้อมกัน ผ่านการจ่ายเบี้ยประกันตามที่กรมธรรม์กำหนด และเมื่อครบสัญญาก็จะได้รับทุนประกันคืนพร้อมผลตอบแทน โดยระหว่างนี้หากผู้เอาประกันเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกัน ผู้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนด้วย
ประกันการออมเหมาะกับเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างไร
● ความคุ้มครองชีวิต
จุดเด่นที่สำคัญของประกันสะสมทรัพย์ คือ ความคุ้มครองชีวิตสำหรับผู้ทำประกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าแม้จะต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี แผนการออมเพื่อคนข้างหลังก็ไม่สะดุด เพราะผู้รับผลประโยชน์จะได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันตามเงื่อนไข
● ได้รับเงินก้อน
ไม่ต้องกังวลว่าหากเก็บเงินผ่านประกันสะสมทรัพย์แล้วจะไม่มีเงินสำรองเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี หรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เพราะประกันสะสมทรัพย์สามารถให้เราเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินออกมาใช้ได้ หรือหากไม่มีความจำเป็นการออมในประกันสะสมทรัพย์ ก็จะช่วยให้เรามีเงินก้อนใหญ่ในอนาคตได้ด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีเป้าหมายใช้เงินในระยะยาว เช่น เงินออมเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการเกษียณ เป็นต้น
● มีโอกาสรับเงินปันผล
เมื่อเราสมัครทำประกันชีวิตชนิดมีเงินปันผลกับบริษัทประกันเรียบร้อยแล้ว ค่าเบี้ยประกันที่เราจ่ายไปหลังหักค่าใช้จ่ายในการประกันภัยแล้ว บริษัทประกันจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายหรือกลยุทธ์การลงทุน โดยเงินปันผลที่จะได้รับในแต่ละปี บริษัทประกันจะมีการคำนวณจากอัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนที่ใช้ประกาศในปีนั้นๆ แล้วหักลบกับต้นทุนของแบบประกัน จากนั้นจึงนำมาจัดสรรให้กับผู้เอาประกันผู้ถือกรมธรรม์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามแต่ละแผนประกัน
● ลดหย่อนภาษี
ไม่ว่าเศรษฐกิจแบบไหนเราก็ยังคงต้องจ่ายภาษี การซื้อประกันการออมที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เช่นเดียวกับการลงทุนใน กองทุน SSF-RMF โดยจะนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท จึงสามารถช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้เราไปพร้อมๆ กับการออมเงินได้
เมื่อเรารู้จักการประกันการออมว่าดีอย่างไรในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนกันแล้ว เราจึงขอชวนทุกคนมาปรับแผนการออมเงินเดิมๆ มาเป็นประกันการออมกัน โดยมีวิธีดังนี้
ปรับแผนการออมเงินด้วยประกันการออมได้สำเร็จ
● แบ่งสัดส่วนเงินออมจากเงินเดือน
ประกันการออมมีแบบแผนการออมที่ชัดเจนและจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปี เราสามารถชำระเบี้ยประกันด้วยบัตรเครดิต หรือทำการตัดบัตรเครดิตอัตโนมัติ และชำระด้วยเงินสดหรือหักบัญชีเงินฝากได้เลย แต่หากใครที่ยังกังวลเกี่ยวกับการจ่ายเบี้ยประกันแบบรายปี กลัวถึงเวลาจะจ่ายไม่ไหว เราก็สามารถใช้วิธีการแบ่งสัดส่วนเงินออมที่จะใช้เป็นเบี้ยประกันออกจากเงินเดือน แล้วหักไว้ในบัญชีเงินฝากที่ใช้สำหรับจ่ายเบี้ยประกันได้เลย เช่น เราจ่ายเบี้ยประกันปีละ 36,000 บาท ตกเดือนละ 36,000/12 = 3,000 บาท ดังนั้น เราจะหักเงินออกจากเงินเดือน เดือนละ 3,000 บาท ทุกเดือนนั้นเอง
● สร้างเงื่อนไข
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแข่งขันแต่ยังเก็บออมเงินได้ไม่สำเร็จ อาจจะลองใช้วิธีตั้งเป้าหมายแล้วให้รางวัลตัวเอง เช่น ตั้งเป้าหมายออมเงินด้วยประกันการออม 1 ครั้ง สำเร็จ จะซื้อกระเป๋าราคา 1 หมื่นบาท เป็นรางวัลให้กับตัวเอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การออมเงินด้วยประกันการออมเป็นเพียงทักษะการเงินที่ช่วยทำให้เราออมเงินได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจตอนนี้จะเป็นแบบไหนการมีสติในการใช้เงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากเรามีเงินออมมากมายแต่ยังมีค่าใช้จ่ายมากกว่า สุดท้ายการเงินของเราก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน