โรคพาร์กินสันเป็นอีกโรคหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ โดยเกิดจากการเสื่อมสภาพของระบบในร่างกายตามธรรมชาติ อาการที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดคืออาการมือสั่น แต่รู้หรือไม่ว่าอาการของโรคพาร์กินสันนั้นมีมากกว่านั้น และอาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตได้มากกว่าที่คุณคิด วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมารู้จักกับโรคนี้กันให้มากขึ้นกัน
โรคพาร์กินสันเกิดจากอะไร
โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนไทยรู้จักคือ “โรคสันนิบาตลูกนก” คือโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ รองลงมาจากโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ โดยเกิดขึ้นกับระบบประสาทที่ผลิตสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่อยู่บริเวณก้านสมองส่วนบน (Midbrain) ซึ่งเมื่อร่างกายผลิตสารนี้ได้ลดลงอันเนื่องจากเซลล์สมองส่วนนั้นเริ่มตาย ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว และแสดงอาการที่ชัดเจนที่สุดออกมาในรูปแบบของการสั่นเกร็งที่มือ แขน ขา และริมฝีปาก
ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันสามารถแยกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคพาร์กินสันแท้ และกลุ่มผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเทียม ต่างกันที่โรคพาร์กินสันแท้นั้นจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในขณะที่โรคพาร์กินสันเทียมแม้จะมีอาการคล้ายคลึงกันแต่ก็มีวิธีรักษาให้หายขาด เนื่องจากสาเหตุของโรคเป็นผลมาจากการรับประทานยารักษา อาการวิงเวียนศีรษะ ยานอนหลับ โรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคพร่องน้ำในสมอง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำที่ส่งผลให้เกิดอาการพาร์กินโซนิซึ่ม (Parkinsonism) เป็นต้น ซึ่งจะสามารถตรวจเช็คได้จากการเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์
สัญญาณเตือน เสี่ยงโรคพาร์กินสัน
อาการผิดปกติของผู้ป่วยจะเริ่มแสดงออกมาหลังจากที่เซลล์สมองส่วนที่กล่าวมาเริ่มทยอยตายไปแล้วอย่างน้อย 4-10 ปี โดยจะเริ่มมีอาการที่สามารถสังเกตได้ดังต่อไปนี้
1. มีอาการสั่น - จะเริ่มมีอาการสั่นเล็กน้อยที่บริเวณนิ้วมือ ข้อมือ คาง เวลานั่งเฉย ๆ หรือไม่ทันได้ระวังตัว
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – อาการมือสั่นจะพบในคนปกติหลังออกกำลังกาย หรือมีภาวะตึงเครียด ตื่นเต้น วิตกกังวล หรือรับประทานยาบางชนิด
2. เขียนหนังสือตัวเล็กลง - ลายมือของผู้ป่วยจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น เมื่อเขียนต่อเนื่องแล้วตัวหนังสือจะเริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ หรือมีระยะชิดกันมากกว่าปกติ
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – เมื่ออายุมากขึ้นอาจเกิดปัญหาข้อติดและความสามารถในการมองเห็นลดลง
3. สูญเสียการได้กลิ่นหรือรับรส - เริ่มไม่ได้กลิ่นอาหารหรือผลไม้บางชนิด
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – อาการสูญเสียการรับกลิ่นและรสชาติจะเกิดขึ้นเมื่อมีอาการไข้ หรืออาการหวัด แต่เมื่อหายก็จะรับกลิ่นเป็นปกติ
4. นอนลำบาก - นอนละเมอ ออกท่าทางระหว่างหลับ เช่น เตะ ต่อย ถีบ ชก เป็นต้น สังเกตได้จากการตื่นมาแล้วมีรอยฟกช้ำ
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – โดยปกติคนเราสามารถนอนละเมอได้ แต่จะไม่ถึงขั้นรุนแรงขนาดเกิดรอยฟกช้ำ
5. ขยับตัวลำบากหรือเดินลำบาก - จะรู้สึกว่าร่างกายติดขัดในขณะขยับเขยื้อนร่างกาย หรือแขนสองข้างแกว่งไม่เท่ากัน
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – อาการนี้เกิดขึ้นได้กับผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่หรือข้อต่อ
6. ท้องผูก - เป็นอาการแรก ๆ ที่เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – หากรับประทานอาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอหรือรับประทานยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้
7. พูดเสียงเบา หรือพูดไม่ชัด
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – เกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีอาการหวัดหรือติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจได้เช่นกัน แต่เสียงจะกลับมาเป็นปกติเมื่อหายแล้ว
8. สีหน้าไม่แสดงอารมณ์
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – สามารถเป็นผลข้างเคียงจากการรับยาบางชนิด แต่จะหายเป็นปกติเมื่อหยุดรับยานั้น
9. วิงเวียนศีรษะหรือวูบเป็นลม - รู้สึกหน้ามืดเวลาเปลี่ยนท่าทาง ซึ่งเป็นผลมาจากความดันโลหิตต่ำ อาจมีสาเหตุมาจากโรคพาร์กินสันได้
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – อาจเกิดขึ้นกับคนปกติได้ในบางครั้ง เช่น เวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย หรือได้รับยาบางชนิด
10. เดินก้มลงหรือหลังโค้งงอ - รู้สึกว่ายืดตัวตรงเหมือนปกติไม่ได้ หลังดูก้มโค้งไปทางด้านหน้า
ลักษณะอาการคล้ายกันที่พบในคนปกติ – หากเคยได้รับบาดเจ็บหรือกำลังปวดช่วงท้องอาจจะเป็นสาเหตุให้ตัวโค้งงอ หรืออาจเป็นปัญหาที่เกิดจากข้อต่อและกระดูกสันหลังได้
อาการของโรคพาร์กินสัน
อาการของโรคพาร์กินสันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ อาการความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Motor Symptoms) และอาการความผิดปกติที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (Non-motor Symptoms)
• อาการความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ประกอบไปด้วยอาการหลัก ๆ 4 อาการ ได้แก่
• อาการสั่น (Tremor) เป็นที่มือ ขา หรือคาง และมักจะเกิดขึ้นขณะพัก ตอนที่ไม่ได้ใช้ส่วนนั้น ๆ
• อาการกล้ามเนื้อฝืดเกร็ง (Rigidity) มักตรวจพบโดยแพทย์ มักจะเกิดบริเวณแขน ขา คอ หรือ ลำตัว
• อาการเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia) ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวช้าและความกว้างของระยะการเคลื่อนไหวจะค่อย ๆ ลดลง พร้อมกับรู้สึกติดขัดขณะขยับเขยื้อนร่างกาย มักจะเกิดอาการข้างใดข้างหนึ่งก่อน
• อาการทรงตัวได้ไม่มั่นคง (Postural Instability) ผู้ป่วยจะล้มง่ายกว่าปกติ ลำตัวและศีรษะจะโน้มไปข้างหน้า
• อาการความผิดปกติที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว แบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มอาการใหญ่
• ปัญหาด้านการนอน (Sleep Disorders) ได้แก่ การนอนกรน นอนไม่หลับ ง่วงนอนตอนกลางวัน นอนละเมอชกต่อย
• ปัญหาด้านระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Dysfunctions) ได้แก่ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะลำบาก ท้องผูก อวัยวะเพศของผู้ชายไม่แข็งตัว มีอาการหน้ามือหรือเป็นลมเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
• ปัญหาด้านอารมณ์, พฤติกรรม และความจำ (Mood-behavior-cognitive Impairments) ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งพบได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของโรค ส่วนความจำหลงลืม หรือ ความบกพร่องในการคิด การตัดสินใจนั้นมักจะพบในช่วงท้าย ๆ ของโรค เป็นต้น
• ปัญหาเรื่องการได้กลิ่นที่ลดลง หรือ ไม่ได้กลิ่น (Hyposmia/Anosmia) ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
• ปัญหาเรื่องอาการปวด ชา หรือ เมื่อยล้า กล้ามเนื้อแขนขา ซึ่งอาจจะเกิดได้ทั้งช่วงที่ยารักษาอาการโรคพาร์กินสันหมดฤทธิ์ หรือ ช่วงยาออกฤทธิ์
ตรวจพาร์กินสันเบื้องต้นด้วยคำถาม 11 ข้อ
บางคนก็อาจจะสงสัยว่าตนเองเป็นอยู่หรือป่าว วันนี้จึงนำเช็กลิสต์ง่าย ๆ ที่ผู้มีอาการเสี่ยงสามารถทดสอบได้ก่อนไปพบแพทย์ โดยคำถามจะมีทั้งหมด 11 ข้อ ดังนี้
1. มือหรือขาของท่านเคยมีอาการสั่น
2. รู้สึกลุกจากเก้าอี้ลำบาก
3. เดินก้าวเท้าสั้น ๆ และเดินซอยเท้าถี่
4. แขนของท่านแกว่งน้อยลงเวลาเดิน
5. แผ่นหลังโค้งงอเวลาเดิน
6. หมุนตัวกลับ เวลาเดิน ได้ลำบาก
7. เคยมีคนบอกว่าเสียงพูดเบาลงกว่าเมื่อก่อน
8. พลิกตัวได้ลำบากเวลานอน
9. เขียนหนังสือช้าลงหรือเขียนหนังสือตัวเล็กลงกว่าเก่า
10. ทำกิจวัตรประจำวันได้ช้าลงกว่าเมื่อไม่นานมานี้ เช่น การหวีผม แต่งตัว อาบน้ำ
11. รู้สึกว่าการกลัดกระดุมหรือเปิดฝาขวดน้ำทำได้ลำบากกว่าเก่า
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน
แพทย์จะตรวจซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยแยกว่าเป็นโรคพาร์กินสันแท้หรือโรคพาร์กินสันเทียม จากนั้นก็จะตรวจให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยการ CT SCAN หรือ MRI สมอง รวมไปถึงการตรวจสแกนดูการทำงานของสมองส่วนลึก F-DOPA PET Scan ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงความผิดปกติของสารโดพามีนในสมองได้
แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน
• รักษาด้วยยา
โดยใช้ยาเพื่อเข้าไปเพิ่มการออกฤทธิ์ของสารโดพามีนในสมองเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอาการกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติมากขึ้น แต่ไม่สามารถฟื้นฟูเซลล์สมองส่วนเสื่อมไปให้กลับมาเป็นปกติ
• รักษาด้วยการผ่าตัด
เพื่อฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมอาการของผู้ป่วย
• รักษาด้วยการออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัด
เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน การเต้นเป็นจังหวะ รำไทเก๊ก
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดกับผู้สูงอายุที่แม้จะไม่ได้ร้ายแรงแต่ก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ลองหันไปดูสมาชิกในบ้านว่าเริ่มมีอาการผิดปกติแสดงออกมาแล้วบ้างหรือไม่ หากเริ่มเห็นสัญญาณแนะนำให้เข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและเตรียมพร้อมการดูแลรักษา เพื่อความสุขของตัวคุณและคนที่คุณรัก สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจากบริการ กรุงไทย-แอกซ่า แคร์คุณกว่าใคร เพื่อให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเข้ารับการรักษามากขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/care-coordination
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลศิครินทร์
· โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์
· โรงพยาบาลศิริราช
· โรงพยาบาลรามคำแหง
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
· โรงพยาบาลพญาไท
· โรงพยาบาลสินแพทย์
