ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
06 ธันวาคม 2566

โรคสมาธิสั้น โรคใกล้ตัวสำหรับเด็กแต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้ แล้วมีอาการอย่างไร มาเช็คกัน

เมื่อพูดถึงโรคสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หลายคนเข้าใจว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วมีโอกาสที่จะตรวจพบในวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยอาการจะเกิดจากสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสมาธิและพฤติกรรมมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการวางแผน การแก้ไขปัญหา และไม่สามารถจัดการกับเวลาได้เมื่อต้องทำงานที่มีกำหนดเวลาทำให้ทำงานไม่เสร็จ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการบริหารจัดการชีวิตในเรื่องต่าง ๆ อีกด้วย โดยวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่า โรคสมาธิสั้น คืออะไร เกิดจากอะไรและเกิดกับใครได้บ้าง

 

มารู้จักกับโรคสมาธิสั้น

              โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD) คือโรคทางสมองชนิดหนึ่งที่เกิดจากความไม่สมดุลของสาร Dopamine และ Norepinephrine ที่อยู่ในสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสมาธิและจัดลำดับขั้นตอน ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน ทำให้มีปัญหาในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิและการจัดลำดับขั้นตอน โรคนี้จะพบได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4-5 ปีและพบมากถึงร้อยละ 5 ในกลุ่มเด็กวัยเรียนแต่อาการนี้ก็สามารถพบในวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะกับเด็กหรือผู้ใหญ่ก็จะใกล้เคียงกันคือ จะไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นาน มีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคม ไม่สามารถทำงานได้เสร็จตามกำหนด มีปัญหาเชิงพฤติกรรม เช่น มีอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นต้น โดยโรคสมาธิสั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มอาการ คือ

·       กลุ่มอาการขาดสมาธิ (Inattention) – แสดงออกมาในรูปแบบปัญหาในการเรียนและการทำงาน

·       กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพันแล่น (Hyperactivity/ Impulsivity) – แสดงออกมาในรูปแบบของปัญหาเชิงพฤติกรรม

ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กอาการทั้ง 2 กลุ่มนี้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ต้น จะส่งผลต่อพัฒนาการด้านอื่น ๆ เช่น การสร้างความสัมพันธ์ทั้งในครอบครัวและในโรงเรียน การเสริมสร้างความมั่นใจ ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยผู้ใหญ่ อาการนี้จะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน

 

สาเหตุของการเกิดโรคสมาธิสั้น

                  สาเหตุหลักของการเกิดโรคสมาธิสั้นมาจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งปัจจัยที่สำคัญมาจากพันธุกรรม แต่ปัจจัยที่จะส่งผลให้อาการของโรคดีขึ้นหรือแย่ลงนั้น เป็นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมรวมถึงในขณะตั้งครรภ์ถ้าหากแม่ขาดสารอาหาร ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือได้รับสารพิษบางชนิด เช่น สารตะกั่ว ก็มีโอกาสทำให้เด็กที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้นสูง นอกจากนี้สาเหตุของโรคนี้ยังอาจมาจากการความผิดปกติของสมองตั้งแต่เกิดหรืออาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางสมองตั้งแต่ในครรภ์หรือตอนที่ยังเป็นเด็ก

 

อีกโรคหนึ่งที่คนมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคสมาธิสั้น นั่นก็คือโรคสมาธิสั้นเทียม ที่อาการคล้ายกันแต่มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน โรคสมาธิสั้นเทียม (Pseudo-ADHD) เป็นภาวะที่เกิดจากการเลี้ยงดู พฤติกรรม พัฒนาการ รวมถึงสภาพแวดล้อม ด้วยเหตุผลที่ว่า ยุคปัจจุบันเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ได้อยู่รอบตัว โดยการที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำจนขาดระเบียบวินัย ส่งผลให้เกิดการสื่อสารด้านเดียวจึงมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ ทำให้ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่บอก ใจร้อน ไม่อดทน ขาดการควบคุมด้านอารมณ์ ขาดทักษะด้านการสื่อสาร รวมถึงทักษะการเข้าสังคม

 

ทำไมโรคนี้ถึงเกิดขึ้นกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

              โรคนี้โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นตั้งแต่เด็กและมีอาการต่อเนื่องมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ เนื่องด้วยสาเหตุหลักของการเกิดโรคมาจากพันธุกรรมและปัจจัยต่าง ๆ ในขณะที่แม่ตั้งครรภ์​ ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่จะมีอาการไม่ชัดเจนเท่ากับเด็ก เนื่องจากอาการในกลุ่มของการอยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่นลดลง แต่หากไม่ได้รับการรักษาก็จะส่งผลต่อการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้

 

 

สัญญาณเตือนโรคสมาธิสั้นในเด็ก

•       ไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จลุล่วงได้

•       ไม่มีสมาธิขณะทำงานหรือเล่น

•       มักไม่ค่อยสนใจฟังเมื่อพูดด้วย

•        จดจ่อได้ไม่นาน ไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้มากนัก และทำงานผิดพลาดบ่อย

•       ไม่มีระเบียบ

•       มักหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้สมาธิหรือความคิด

•       วอกแวกง่าย อยู่ไม่นิ่ง

•       ทำของหายบ่อย ขี้ลืม

•       นั่งไม่ติดที่ ชอบเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ

•       ซุกซน เล่นเสียงดัง

•       ตื่นตัวตลอดเวลา หรือตื่นเต้นง่าย

•       ชอบขัดจังหวะหรือพูดแทรก

 

อาการของโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่

•       วอกแวกง่าย ไม่สามารถเก็บรายละเอียดจากบทสนทนาได้

•       ทำงานไม่เสร็จทันเวลาที่กำหนด

•       ไม่สามารถวางแผน บริหารจัดการเวลาได้ดี

•       ทำงานผิดพลาดบ่อย

•       มักหาของไม่ค่อยเจอ

•       ผัดวันประกันพรุ่ง

•       มาสายเป็นประจำ

•       อารมณ์ขึ้นเร็วง่าย โกรธง่าย หายเร็ว

•       หุนหันพลันแล่น ขาดการยับยั้งชั่งใจ ชอบทำตามใจตนเอง

•       เบื่อง่าย ไม่ชอบคอยอะไรนาน ๆ

•       มักมีปัญหากับบุคคลรอบข้าง

•       เครียด หงุดหงิดง่าย บางคนมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวลและนอนไม่หลับ

•       มักจะขี้หลง ขี้ลืม

•       มีปัญหาในการใช้สมาธิ มักเหม่อลอย

•       ชอบความแปลกใหม่ ตื่นเต้น

•       พูดเก่ง พูดมาก

•       ใช้ชีวิตบนความเสี่ยง ขับรถเร็ว ประมาท

•       มักเริ่มงานใหม่โดยที่ยังทำงานเดิมไม่เสร็จลุล่วง

 

การวินิจฉัยอาการของโรคสมาธิสั้น

•       การวินิจฉัยอาการในกลุ่มเด็ก

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และกุมารแพทย์ทางด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต จะเป็นผู้ประเมินจากปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละด้าน รวมถึงตรวจดูความผิดปกติที่อาจเข้าข่ายโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคสมาธิสั้น เช่น โรคทางระบบประสาทหรือความวิตกกังวล โดยการวินิจฉัยสามารถทำได้ผ่านการสัมภาษณ์ผู้ปกครองโดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหรือสแกนสมอง แพทย์อาจมีการพิจารณาเพิ่มเติมผ่านแบบสอบถามหรือแบบประเมินระดับสติปัญญาโดยนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจากความจำเป็นในแต่ละกรณี

•       การวินิจฉัยอาการในกลุ่มผู้ใหญ่

แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยและญาติและจะตรวจร่างกายเพื่อแยกโรคที่อาจเป็นสาเหตุของอาการออกก่อน จะมีการสอบถามไปถึงประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัว ซึ่งกระบวนการก็จะคล้ายคลึงกับการวินิจฉัยผู้ป่วยกลุ่มเด็ก

 

              การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเข้าข่ายเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่นั้น จะเปรียบเทียบจากตารางอาการโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาการด้านการขาดสมาธิจดจ่อกับกลุ่มอาการด้านการตื่นตัว หุนหันพลันแล่น โดยจะสรุปว่าผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายโรคสมาธิสั้นเมื่อมีอาการในแต่ละด้าน 6 ข้อขึ้นไปในกลุ่มเด็กและ 5 ข้อขึ้นไปในกลุ่มผู้ใหญ่

 

การรักษาโรคสมาธิสั้น

              การรักษาโรคสมาธิสั้นจะเป็นเพียงการควบคุมอาการให้ดีขึ้นและลดพฤติกรรมที่จะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต แต่ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยที่มีอาการสมาธิสั้นในวัยเด็กจะยังคงมีโอกาสเกิดอาการในวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกันซึ่งการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการรักษาด้วยการใช้ยาควบคู่ไปกับการบำบัด

•       การรักษาด้วยยา

วิธีนี้จะเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยมีสมาธิและสามารถจดจ่อได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการหุนหันพลันแล่น และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยยาที่ใช้ในประเทศไทยจะเป็นยาที่เข้าไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาMethylphenidate แต่หากผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากผลข้างเคียงของยาชนิดนี้ก็จะใช้ยา Atomoxetine ซึ่งเป็นยาที่ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทแทน

•       การรักษาด้วยการบำบัดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยนักจิตวิทยา

โดยควรปฏิบัติต่อเนื่องสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมตนเองในการใช้ชีวิตต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น การฝึกทักษะทางอารมณ์ ทักษะการจัดการงานต่าง ๆ รวมไปถึงทักษะการสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข

 

วิธีการป้องกันโรคสมาธิสั้น

              แม้สาเหตุหลักของการเกิดโรคสมาธิสั้นจะเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยของการเกิดโรคที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้เช่นกัน ได้แก่

•       คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่ใช้สารเสพติด

•       หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรืออยู่ในบริเวณที่มีมลพิษและสารพิษที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่ว ทั้งในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์และตลอดช่วงเวลาที่เด็กเกิดและเติบโต

•       สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อพัฒนาการของเด็ก เช่น การฝึกระเบียบวินัย การพูดคุยตอบโต้ พาไปเที่ยว อ่านหนังสือและหากิจกรรมทำร่วมกัน

 

รู้อย่างนี้แล้วลองเช็กลูกน้อยหรือคนใกล้ตัวว่ากำลังมีอาการสมาธิสั้นอยู่หรือไม่ หากคุณกำลังพบว่ามีคนใกล้ตัวอยู่ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการสมาธิสั้น ความเข้าใจธรรมชาติของโรคนี้ก็จะเป็นประตูบานแรกที่จะช่วยให้อยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่นและมีความสุข สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลมนารมย์

http://bitly.ws/IQxc

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์

http://bitly.ws/IQxf

·       โรงพยาบาลศิครินทร์

http://bitly.ws/IQxk

·       โรงพยาบาลเมดพาร์ค

https://bit.ly/3XL4HAk

บทความสุขภาพที่สำคัญ