ความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ บทบาทและการตระหนักถึงการใช้ถุงยางอนามัยเป็นสิ่งที่เห็นและได้ยินมากขึ้น เพราะถุงยางอนามัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การคุมกำเนิดเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันการท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของถุงยางอนามัย เราควรเลือกถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง เพราะว่าถุงยางอนามัยมีหลากหลายขนาด หลากหลายชนิด โดยในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกัน
ทำไมต้องป้องกัน ทำไมต้องสวมถุงยางอนามัย
การป้องกันโรคติดต่อและการท้องไม่พร้อมเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากสถิติปี 2563 พบว่า มีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ โดยอัตราส่วนของ 5 โรคที่มีการป่วยสูงและมีแนวโน้มการติดต่อที่สูงขึ้น ได้แก่ ซิฟิลิส ร้อยละ 16.4 หนองใน ร้อยละ 11.9 หนองในเทียม ร้อยละ 3.1 แผลริมอ่อน ร้อยละ 1.8 กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ร้อยละ 0.4 ตามลำดับ รวมเป็นร้อยละ 33.6 ต่อประชากรแสนคน และในปี 2564 มีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 41.97 ต่อประชาการแสนคน ซึ่งมีแนวโน้มที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ อัตราการท้องไม่พร้อมในสัดส่วน 25 ต่อ 1000 คนมีสาเหตุจากขาดความรู้หรือมีความรู้แต่ใช้ไม่ถูกต้อง ซึ่งการมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันโรคติดต่อและการท้องไม่พร้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถุงยางอนามัยมีไว้เพื่ออะไร มีกี่แบบ
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สวมอวัยวะเพศชาย ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ โดยจุดประสงค์ของถุงยางอนามัยนั้น ใช้เพื่อป้องกันน้ำอสุจิเคลื่อนที่เข้าสู่ช่องคลอดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามวัสดุที่ใช้ทำ ได้แก่
• ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex Condom) เป็นถุงยางอนามัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ถุงยางอนามัยประเภทนี้มีความยืดหยุ่นสูง ให้ความสัมผัสที่ใกล้เคียงกับผิวหนังจริง แต่ถุงยางชนิดนี้มีข้อเสียคือ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมหรือ Oil ได้ เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ และสำหรับบางคนก็อาจจะมีโอกาสแพ้น้ำยางธรรมชาติได้
• ถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์ (Non-latex Condom) เป็นถุงยางอนามัยที่ผลิตจากวัสดุต่าง ๆ เช่น โพลียูรีเทน โพลีไอโซพรีน ถุงยางอนามัยประเภทนี้มีความทนทานต่อการฉีกขาดมากกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งถุงยางประเภทนี้จะมีราคาที่สูงกว่าแบบน้ำยางธรรมชาติ
วิธีการเลือกถุงยางอนามัย
ขนาด – การเลือกขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถุงยางอนามัยที่ไม่พอดีอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ถุงยางอนามัยขาด หลุด หรือรัดแน่นเกินไป ถุงยางอนามัยในท้องตลาดจะมีขนาดตั้งแต่ 49 ถึง 56 มิลลิเมตร ซึ่งวิธีการวัดนั้น สามารถวัดได้จากความยาวเส้นรอบวงในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว โดยการใช้สายวัดเอวพันรอบโคนอวัยวะเพศให้พอดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป ก็จะได้เส้นรอบวง แล้วนำมาหาร 2.3 ตัวอย่างเช่น เส้นรอบวงอยู่ที่ 120 นำมาหารด้วย 2.3 จะได้ประมาณ 52 ก็จะได้ขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสม ขนาดถุงยางอนามัยที่มีขายในร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยาจะมีขนาดตั้งแต่ 49 ถึง 56 มิลลิเมตร ขนาดที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทยคือขนาด 52 มิลลิเมตร อาจจะพิจารณาการเลือกขนาด 52 มิลลิเมตรได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้าเป็นคนมีคู่นอนประจำ ก็สามารถถามคู่นอนได้เลย
รูปทรงและผิวสัมผัส – ถุงยางอนามัยมักจะมีรูปทรงกระบอก แต่ก็มีแบบอื่น ๆ เช่น ปลายบานออกหรือป่องออกเพื่อให้เข้ากับสรีระของผู้ชายได้ดีขึ้น บางรุ่นอาจมีส่วนปลายที่ทำหน้าที่เก็บน้ำอสุจิ บางรุ่นมีรูปร่างแปลกใหม่ รวมถึงผิวสัมผัสที่เรียบ หรือบางรุ่นมีลักษณะขรุขระซึ่งช่วยกระตุ้นเส้นประสาทในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ การเลือกผิวสัมผัสของถุงยางอนามัยนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมทางเพศของแต่ละบุคคล
สารหล่อลื่น - ในถุงยางอนามัยบางชนิดจะมีสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของโนน็อกซินอล (Nonoxynol) สารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบไว้ที่ผิวด้านนอกของถุงยางอนามัย หรือสารชะลอการหลั่งที่ใส่มากับถุงยางอนามัยอย่างเบนโซคาอีน (Benzocaine) สามารถใช้เพื่อแก้ปัญหาอาการหลั่งเร็ว สารเหล่านี้จะทำให้อวัยวะเพศชาชั่วคราว ช่วยยืดเวลาออกไปให้นานขึ้นและบางชนิดก็ชโลมด้วยสารหล่อลื่นลื่นประเภท เค-วาย หรือกลีเซอลีน ที่เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีน้ำหล่อลื่น ช่วยลดอาการเจ็บได้
กลิ่นและสี - ถุงยางอนามัยมีกลิ่นและสีถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินในกิจกรรมทางเพศโดยทั่วไปก็จะมีกลิ่นกล้วยหอม สตรอว์เบอร์รี วานิลลา และช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังมีถุงยางอนามัยที่มีสีธรรมชาติอย่าง สีใส สีเหลืองอ่อน สีดำ สีแดง หรือกลิ่นต่าง ๆ เช่น กะเพราไก่ ทุเรียน และอื่น ๆ
แพ้ถุงยางอนามัย ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ถุงยางอนามัย
แพ้ถุงยางอนามัยเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับถุงยางอนามัย อาการแพ้ถุงยางอนามัยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ แต่พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการแพ้ถุงยางอนามัยแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุ คือ แพ้น้ำยางธรรมชาติหรือแพ้สารเคลือบที่อยู่บนตัวถุงยางอนามัย ทำให้เกิดอาการคัน แสบ มีผื่นขึ้น อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 1-2 วัน เมื่อมีอาการควรหยุดกิจกรรมทางเพศและรับประทานยาแก้แพ้ หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนเป็นถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์และไม่ผสมสารเคลือบต่าง ๆ เช่น สารหล่อลื่น สารฆ่าอสุจิเพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเลือกถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับตัวเอง นอกจากการแพ้ถุงยางอนามัยแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องระวัง เช่น
• การร่วมเพศที่รุนแรงโดยไม่มีน้ำหรือสารหล่อลื่น ก็อาจจะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้
• การแกะ ตัด ซองของถุงยางอนามัยด้วยของมีคม ก็เสี่ยงที่จะทำให้ถุงยางอนามัยขาดได้
• การใช้สารหล่อลื่นผิดประเภท ที่ทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ
• เก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเงิน หรือเก็บไว้ที่ที่โดนแดด ก็อาจจะทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพได้ ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น
ผู้หญิงก็สามารถพกถุงยางอนามัยได้นะ
การพกถุงยางอนามัยนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่เรื่องของเพศใดเพศหนึ่ง เพศไหนก็พกได้ เพราะนอกจากเป็นการป้องกันการท้องไม่พร้อมแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ อย่างหนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส และเชื้อราต่าง ๆ ได้อีกด้วย
เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัยจึงควรเลือกใช้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อขนาดที่เหมาะสม ประเภทของถุงยาง และรู้ถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อและท้องไม่พร้อมไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ๆ ก็สามารถพกถุงยางอนามัยได้ เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
• โรงพยาบาลสมิติเวช
https://bit.ly/47P7hJE
• คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
https://bit.ly/3thJqTT
• HelloKhunmor
https://bit.ly/47S52W3
https://bit.ly/3RlMCGm
• Healthline
https://bit.ly/41ZqeHy
• กรมควบคุมโรค
https://bit.ly/3SzEDpG
https://bit.ly/4bIw4Sjความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ บทบาทและการตระหนักถึงการใช้ถุงยางอนามัยเป็นสิ่งที่เห็นและได้ยินมากขึ้น เพราะถุงยางอนามัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การคุมกำเนิดเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันการท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของถุงยางอนามัย เราควรเลือกถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง เพราะว่าถุงยางอนามัยมีหลากหลายขนาด หลากหลายชนิด โดยในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกัน
ทำไมต้องป้องกัน ทำไมต้องสวมถุงยางอนามัย
การป้องกันโรคติดต่อและการท้องไม่พร้อมเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากสถิติปี 2563 พบว่า มีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ โดยอัตราส่วนของ 5 โรคที่มีการป่วยสูงและมีแนวโน้มการติดต่อที่สูงขึ้น ได้แก่ ซิฟิลิส ร้อยละ 16.4 หนองใน ร้อยละ 11.9 หนองในเทียม ร้อยละ 3.1 แผลริมอ่อน ร้อยละ 1.8 กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ร้อยละ 0.4 ตามลำดับ รวมเป็นร้อยละ 33.6 ต่อประชากรแสนคน และในปี 2564 มีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 41.97 ต่อประชาการแสนคน ซึ่งมีแนวโน้มที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ อัตราการท้องไม่พร้อมในสัดส่วน 25 ต่อ 1000 คนมีสาเหตุจากขาดความรู้หรือมีความรู้แต่ใช้ไม่ถูกต้อง ซึ่งการมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันโรคติดต่อและการท้องไม่พร้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถุงยางอนามัยมีไว้เพื่ออะไร มีกี่แบบ
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สวมอวัยวะเพศชาย ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ โดยจุดประสงค์ของถุงยางอนามัยนั้น ใช้เพื่อป้องกันน้ำอสุจิเคลื่อนที่เข้าสู่ช่องคลอดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามวัสดุที่ใช้ทำ ได้แก่
• ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex Condom) เป็นถุงยางอนามัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ถุงยางอนามัยประเภทนี้มีความยืดหยุ่นสูง ให้ความสัมผัสที่ใกล้เคียงกับผิวหนังจริง แต่ถุงยางชนิดนี้มีข้อเสียคือ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมหรือ Oil ได้ เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ และสำหรับบางคนก็อาจจะมีโอกาสแพ้น้ำยางธรรมชาติได้
• ถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์ (Non-latex Condom) เป็นถุงยางอนามัยที่ผลิตจากวัสดุต่าง ๆ เช่น โพลียูรีเทน โพลีไอโซพรีน ถุงยางอนามัยประเภทนี้มีความทนทานต่อการฉีกขาดมากกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งถุงยางประเภทนี้จะมีราคาที่สูงกว่าแบบน้ำยางธรรมชาติ
วิธีการเลือกถุงยางอนามัย
ขนาด – การเลือกขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถุงยางอนามัยที่ไม่พอดีอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ถุงยางอนามัยขาด หลุด หรือรัดแน่นเกินไป ถุงยางอนามัยในท้องตลาดจะมีขนาดตั้งแต่ 49 ถึง 56 มิลลิเมตร ซึ่งวิธีการวัดนั้น สามารถวัดได้จากความยาวเส้นรอบวงในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว โดยการใช้สายวัดเอวพันรอบโคนอวัยวะเพศให้พอดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป ก็จะได้เส้นรอบวง แล้วนำมาหาร 2.3 ตัวอย่างเช่น เส้นรอบวงอยู่ที่ 120 นำมาหารด้วย 2.3 จะได้ประมาณ 52 ก็จะได้ขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสม ขนาดถุงยางอนามัยที่มีขายในร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยาจะมีขนาดตั้งแต่ 49 ถึง 56 มิลลิเมตร ขนาดที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทยคือขนาด 52 มิลลิเมตร อาจจะพิจารณาการเลือกขนาด 52 มิลลิเมตรได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้าเป็นคนมีคู่นอนประจำ ก็สามารถถามคู่นอนได้เลย
รูปทรงและผิวสัมผัส – ถุงยางอนามัยมักจะมีรูปทรงกระบอก แต่ก็มีแบบอื่น ๆ เช่น ปลายบานออกหรือป่องออกเพื่อให้เข้ากับสรีระของผู้ชายได้ดีขึ้น บางรุ่นอาจมีส่วนปลายที่ทำหน้าที่เก็บน้ำอสุจิ บางรุ่นมีรูปร่างแปลกใหม่ รวมถึงผิวสัมผัสที่เรียบ หรือบางรุ่นมีลักษณะขรุขระซึ่งช่วยกระตุ้นเส้นประสาทในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ การเลือกผิวสัมผัสของถุงยางอนามัยนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมทางเพศของแต่ละบุคคล
สารหล่อลื่น - ในถุงยางอนามัยบางชนิดจะมีสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของโนน็อกซินอล (Nonoxynol) สารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบไว้ที่ผิวด้านนอกของถุงยางอนามัย หรือสารชะลอการหลั่งที่ใส่มากับถุงยางอนามัยอย่างเบนโซคาอีน (Benzocaine) สามารถใช้เพื่อแก้ปัญหาอาการหลั่งเร็ว สารเหล่านี้จะทำให้อวัยวะเพศชาชั่วคราว ช่วยยืดเวลาออกไปให้นานขึ้นและบางชนิดก็ชโลมด้วยสารหล่อลื่นลื่นประเภท เค-วาย หรือกลีเซอลีน ที่เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีน้ำหล่อลื่น ช่วยลดอาการเจ็บได้
กลิ่นและสี - ถุงยางอนามัยมีกลิ่นและสีถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินในกิจกรรมทางเพศโดยทั่วไปก็จะมีกลิ่นกล้วยหอม สตรอว์เบอร์รี วานิลลา และช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังมีถุงยางอนามัยที่มีสีธรรมชาติอย่าง สีใส สีเหลืองอ่อน สีดำ สีแดง หรือกลิ่นต่าง ๆ เช่น กะเพราไก่ ทุเรียน และอื่น ๆ
แพ้ถุงยางอนามัย ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ถุงยางอนามัย
แพ้ถุงยางอนามัยเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับถุงยางอนามัย อาการแพ้ถุงยางอนามัยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ แต่พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการแพ้ถุงยางอนามัยแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุ คือ แพ้น้ำยางธรรมชาติหรือแพ้สารเคลือบที่อยู่บนตัวถุงยางอนามัย ทำให้เกิดอาการคัน แสบ มีผื่นขึ้น อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 1-2 วัน เมื่อมีอาการควรหยุดกิจกรรมทางเพศและรับประทานยาแก้แพ้ หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนเป็นถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์และไม่ผสมสารเคลือบต่าง ๆ เช่น สารหล่อลื่น สารฆ่าอสุจิเพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเลือกถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับตัวเอง นอกจากการแพ้ถุงยางอนามัยแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องระวัง เช่น
• การร่วมเพศที่รุนแรงโดยไม่มีน้ำหรือสารหล่อลื่น ก็อาจจะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้
• การแกะ ตัด ซองของถุงยางอนามัยด้วยของมีคม ก็เสี่ยงที่จะทำให้ถุงยางอนามัยขาดได้
• การใช้สารหล่อลื่นผิดประเภท ที่ทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ
• เก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเงิน หรือเก็บไว้ที่ที่โดนแดด ก็อาจจะทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพได้ ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น
ผู้หญิงก็สามารถพกถุงยางอนามัยได้นะ
การพกถุงยางอนามัยนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่เรื่องของเพศใดเพศหนึ่ง เพศไหนก็พกได้ เพราะนอกจากเป็นการป้องกันการท้องไม่พร้อมแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ อย่างหนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส และเชื้อราต่าง ๆ ได้อีกด้วย
เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัยจึงควรเลือกใช้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อขนาดที่เหมาะสม ประเภทของถุงยาง และรู้ถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อและท้องไม่พร้อมไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ๆ ก็สามารถพกถุงยางอนามัยได้ เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
• โรงพยาบาลสมิติเวช
https://bit.ly/47P7hJE
• คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
https://bit.ly/3thJqTT
• HelloKhunmor
https://bit.ly/47S52W3
https://bit.ly/3RlMCGm
• Healthline
https://bit.ly/41ZqeHy
• กรมควบคุมโรค
https://bit.ly/3SzEDpG
https://bit.ly/4bIw4Sj
