ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
22 กรกฎาคม 2566

ตาแดงเกิดจากอะไร เล่นโทรศัพท์หรือจ้องจอนาน ๆ แล้วตาแดงได้หรือไม่

 เวลาที่เราเริ่มรู้สึกเคืองตาสิ่งแรกที่ร่างกายจะทำโดยอัตโนมัติก็คือการยกมือขึ้นมาขยี้ตาเพื่อให้หายคัน แต่รู้หรือไม่ว่ามือของเรานี่แหละที่เป็นสะพานนำเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ดวงตา ทำให้มีโอกาสเกิดอาการตาแดงหรือตาอักเสบได้ ไม่เพียงเท่านั้นการใช้สายตาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาแดงได้เช่นกัน วันนี้เราจึงมีวิธีการดูแลตนเองและวิธีการป้องกันโรคตาแดงมาฝากกัน

 

โรคตาแดงเกิดจากอะไร

                  โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบของเยื่อบุตาทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อ โดยการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสีแดงที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตาสีขาวนั้นมาจากหลอดเลือดฝอยที่เยื่อตาขยายตัว การอักเสบนี้สามารถเกิดขึ้นได้จาก การขยี้ตา การใช้มือสัมผัสดวงตา ฝุ่นผงเข้าตา ตาแห้ง การบาดเจ็บบริเวณดวงตา หรือเนื้อเยื่อดวงตาเกิดการติดเชื้อ เป็นต้น

                  การเล่นโทรศัพท์หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานานก็สามารถทำให้เกิดอาการตาแดงได้เช่นกัน โดยเป็นกลุ่มโรคที่มีชื่อว่า Computer Vision Syndrome ซึ่งจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกแสบตา เคืองตา มีอาการตามัว น้ำตาไหล หรือในบางรายอาจเกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราว ดังนั้นหากทำงานหรือมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน อย่าลืมพักสายตาเป็นระยะ ๆ อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง โดยการมองพื้นที่สีเขียวหรือมองไปที่โล่งกว้างระยะไกลก็จะช่วยให้เราได้พักสายตามากขึ้น

 

อาการของโรคตาแดง

              โรคตาแดงโดยปกติแล้วเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญและความลำบากในการใช้ชีวิตไม่น้อย โรคตาแดงเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยแต่จะมีอาการโดยรวมดังนี้ คือ

·       เยื่อบุตาขาวกลายเป็นสีแดง มีอาการบวม อาจมีเลือดออกเป็นปื้น ๆ

·       รู้สึกคัน เคืองตาแสบตา และมีน้ำตาไหล

·       มีขี้ตาเหลวหรือเป็นก้อนแข็งปริมาณมาก

·       หากเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียก็อาจจะมีขี้ตาสีเหลือง

·       เปลือกตาบวมแดง หรือเปลือกตาอักเสบและลอก

·       อาจมีอาการเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้

·       ในบางกรณีอาจจะอาการเหมือนเป็นหวัดร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ ไอ เป็นต้น

·       ตาพร่า มองเห็นภาพไม่ชัด

·       ขนตาร่วง

·       ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโต บวมและมีอาการเจ็บ 

 

7 ประเภทของโรคตาแดง

1.        ตาแดงจากภูมิแพ้ โรคตาแดงชนิดนี้มีสาเหตุมาจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่แพ้ เช่น แพ้ตามฤดูกาล แพ้สารต่าง ๆ แพ้คอนแทคเลนส์ เป็นต้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการตาบวม ซึ่งลักษณะการบวมมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความแพ้ของแต่ละคน รู้สึกคันตา เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล เยื่อบุตาแดง ตาไวต่อการรับแสง

2.        ตาแดงจากต้อลมและต้อเนื้อ ต้อลมและต้อเนื้อเกิดจากการที่ดวงตาได้รับแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่า UV เป็นส่วนประกอบในแสงแดดและอาจพบเป็นปริมาณมากในแสงจากหลอดไฟบางชนิด ดังนั้นโรคตาแดงชนิดนี้จึงมักจะพบในคนที่ต้องใช้ชีวิตกลางแจ้งหรือโดนแสง UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ในช่วงต้นร่างกายจะยังไม่แสดงอาการอะไร แต่จะเริ่มเห็นความผิดปกติที่เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุตาขาว อาจมีอาการเคืองตา ตาแห้ง รู้สึกเหมือนมีเศษผงอยู่ในตา รวมถึงอาจมีอาการแสบตาหรือตาแดงได้เป็นครั้งคราว

3.        ตาแดงจากเส้นเลือดฝอยแตก เส้นเลือดฝอยสามารถแตกได้เมื่อความดันเลือดในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติอย่างกะทันหัน ซึ่งสามารถเกิดได้จากการไอ จาม หรือเบ่งแรง ๆ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ รวมถึงเกิดจากอุบัติเหตุ หรือการขยี้ตาแรง ๆ อีกด้วย ผู้ที่เป็นตาแดงจากเส้นเลือดฝอยแตกโดยทั่วไปจะไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่ในบางรายจะรู้สึกระคายเคืองตา ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เช่น หากเกิดจากการขยี้ตา หรือมีแผลที่เยื่อบุตาร่วมด้วยก็จะรู้สึกระคายเคือง

4.        ตาแดงจากการติดเชื้อหนองใน เป็นอาการตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คือ เชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis มักจะเกิดกับทารกแรกคลอด โดยได้รับเชื้อมาจากแม่ขณะคลอด ซึ่งแม่ได้รับเชื้อมาแล้วจากคู่นอน แต่ในปัจจุบันจะพบอาการตาแดงจากสาเหตุนี้น้อยลง เพราะว่ามีการฝากครรภ์ที่ดีก่อนคลอด

ผู้ป่วยจะตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาแล้วจะเจ็บ เคืองตามาก ตาและหนังตาบวม มีขี้ตาเป็นหนอง และเกิดขึ้นเยอะมาก แม้จะเพิ่งเช็ดออกก็จะมีไหลออกมาอีก อาการตาแดงจากเชื้อหนองในจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เพราะมีโอกาสที่เชื้อจะทะลุเข้าสู่กระจก และตาดำได้ หากพบอาการควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์ทันที เพราะหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้อาการรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้

5.        ตาแดงจากต้อหินเฉียบพลัน มีสาเหตุมาจากการที่มีความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพราะช่องด้านหน้าลูกตาแคบ ซึ่งช่องด้านหน้าของลูกตานี้จะเป็นที่ระบายน้ำในลูกตา ดังนั้นเมื่อช่องนี้แคบก็มีโอกาสที่การระบายน้ำในลูกตาจะลดลงและทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้นได้ อาจพบภาวะนี้ในผู้ที่มีสายตายาว มีต้อกระจกที่ปล่อยไว้จนสุก เลนส์แก้วตาเคลื่อนจากอุบัติเหตุ หรือเป็นโรคม่านตาอักเสบ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก (Topiramate) ยาลดน้ำมูก ยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิด รวมถึงการหยอดยาบางประเภท ก็เป็นสาเหตุของอาการนี้ได้

ผู้ที่ตาแดงจากต้อหินเฉียบพลันจะมีอาการตาแดง รอบ ๆ ตาดำและจะแดงระเรื่อตลอดเวลา กระจกตาที่เคยใสจะขุ่นมัว รูม่านตาขยาย รู้สึกปวดตา ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง และถ้าหากทิ้งไว้ไม่รักษาอาจทำให้ตาบอดได้

6.        ตาแดงจากงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสของโรคงูสวัด (เป็นเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับโรคเริม) ทำให้เกิดแผลขึ้นบริเวณใบหน้าใกล้กับดวงตา ทำให้เชื้อลุกลามเข้าไปในตา ผู้ป่วยจะมีแผลในกระจกตาดำที่มีลักษณะเฉพาะ คือ มีรอยแผลถลอก รูปร่างคล้ายกิ่งก้านไม้

7.        ตาแดงจากเชื้อไวรัส โรคตาแดงชนิดนี้เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม อะดีโนไวรัส (Adenovirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถกระจายตัวได้ง่าย มักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน สามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว การติดต่อจะเกิดขึ้นจากการสัมผัสและใช้ของใช้ร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อ โดยผู้ป่วยจะมีอาการตาแดงอย่างเฉียบพลัน เคืองตามาก ตาไวต่อแสง เจ็บตา น้ำตาไหล ตาบวมไม่มีขี้ตา หรือมีขี้ตาเป็นเมือกใส ๆ ซึ่งผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อ 1-2 วัน และจะมีอาการต่อเนื่องกันประมาณ 10-14 วัน

จักษุแพทย์จะวินิจฉัยสาเหตุของอาการตาแดงได้อย่างแม่นยำจากการตรวจสุขภาพดวงตา และการซักถามผู้ป่วยถึงปัจจัยต่าง ๆ  เช่น อาการอื่น ๆ ที่ปรากฏ ประวัติทางการแพทย์ อาหารที่บริโภค รูปแบบการดำเนินชีวิต ปัญหาอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา นอกจากนี้ยังอาจมีการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การส่งตรวจขี้ตาเพื่อเพาะเชื้อ เป็นต้น

 

วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคตาแดง

·       ใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง

·       ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

·       หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ

·       หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้

·       ใช้กระดาษทิชชูชนิดนุ่มเช็ดขี้ตาหรือซับน้ำตาบ่อยๆ แล้วทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด

·       ไม่ใช้ยาหยอดตาขวดเดียวกันกับดวงตาทั้งสองข้าง และให้หยอดตาเฉพาะข้างที่มีอาการเท่านั้น

·       แยกของใช้ส่วนตัวออกจากทุกคน เช่น ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน ผ้าห่ม

·       หยุดใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายสนิท

·       งดว่ายน้ำในสระในช่วงที่โรคตาแดงระบาด

·       พักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น

·       พักการใช้สายตาและพักผ่อนให้เพียงพอ

·       ไม่จำเป็นต้องปิดตา เว้นแต่กรณีที่กระจกตาอักเสบ แต่ถ้าหากเคืองตามากอาจปิดตาชั่วคราวหรือสวมแว่นกันแดดแทนได้เช่นกัน

 

การป้องกันโรคตาแดง

·       ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น

·       ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

·       เมื่อมีสิ่งสกปรกเข้าตา ให้ล้างดวงตาด้วยน้ำสะอาด

·       ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินกำหนด โดยห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น และควรล้างคอนแทคเลนส์ให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ

·       เมื่อสัมผัสใบหน้า ดวงตา หรือของใช้ของผู้ป่วยควรรีบล้างมือด้วยสบู่ทันที

·       แยกตัวผู้ป่วยออกจากคนกลุ่มใหญ่เพื่อจำกัดการแพร่ระบาด

·       ลดหรืองดการใช้สายตา เพื่อไม่ให้ตาล้า

·       หมั่นตรวจเช็คสุขภาพสายตาหากมีคนในครอบครัวเคยมีประวัติการเป็นต้อ

 

ดวงตาคืออวัยวะสำคัญที่เราใช้งานอยู่แทบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายคนจะต้องอยู่กับหน้าจอตลอดทั้งวัน ดังนั้นการหมั่นดูแลตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
http://bit.ly/3ERec8Z
http://bit.ly/3m89Cwj

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/697/Conjunctivitis

·       โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://bit.ly/3J7QF62
http://bit.ly/3ybWWap
http://bit.ly/3SJZt5f

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/conjunctivitis
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/pinguecula-pterygium

·       โรงพยาบาลเพชรเวช
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/pink_eye_detail

·       เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/3KRTaL4
http://bit.ly/3KTOvZ0

·       โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
http://bit.ly/3kDST3B

·       คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=675

·       สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร
http://www.msdbangkok.go.th/healthconner_Conjunctivitis.htm

·       โรงพยาบาลหูคอจมูก
https://eent.co.th/articles/063/

 

 

บทความสุขภาพที่สำคัญ