เวลาที่เราเริ่มรู้สึกเคืองตาสิ่งแรกที่ร่างกายจะทำโดยอัตโนมัติก็คือการยกมือขึ้นมาขยี้ตาเพื่อให้หายคัน แต่รู้หรือไม่ว่ามือของเรานี่แหละที่เป็นสะพานนำเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ดวงตา ทำให้มีโอกาสเกิดอาการตาแดงหรือตาอักเสบได้ ไม่เพียงเท่านั้นการใช้สายตาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาแดงได้เช่นกัน วันนี้เราจึงมีวิธีการดูแลตนเองและวิธีการป้องกันโรคตาแดงมาฝากกัน
โรคตาแดงเกิดจากอะไร
โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบของเยื่อบุตาทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อ โดยการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสีแดงที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตาสีขาวนั้นมาจากหลอดเลือดฝอยที่เยื่อตาขยายตัว การอักเสบนี้สามารถเกิดขึ้นได้จาก การขยี้ตา การใช้มือสัมผัสดวงตา ฝุ่นผงเข้าตา ตาแห้ง การบาดเจ็บบริเวณดวงตา หรือเนื้อเยื่อดวงตาเกิดการติดเชื้อ เป็นต้น
การเล่นโทรศัพท์หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานานก็สามารถทำให้เกิดอาการตาแดงได้เช่นกัน โดยเป็นกลุ่มโรคที่มีชื่อว่า Computer Vision Syndrome ซึ่งจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกแสบตา เคืองตา มีอาการตามัว น้ำตาไหล หรือในบางรายอาจเกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราว ดังนั้นหากทำงานหรือมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน อย่าลืมพักสายตาเป็นระยะ ๆ อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง โดยการมองพื้นที่สีเขียวหรือมองไปที่โล่งกว้างระยะไกลก็จะช่วยให้เราได้พักสายตามากขึ้น
อาการของโรคตาแดง
โรคตาแดงโดยปกติแล้วเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญและความลำบากในการใช้ชีวิตไม่น้อย โรคตาแดงเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยแต่จะมีอาการโดยรวมดังนี้ คือ
· เยื่อบุตาขาวกลายเป็นสีแดง มีอาการบวม อาจมีเลือดออกเป็นปื้น ๆ
· รู้สึกคัน เคืองตาแสบตา และมีน้ำตาไหล
· มีขี้ตาเหลวหรือเป็นก้อนแข็งปริมาณมาก
· หากเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียก็อาจจะมีขี้ตาสีเหลือง
· เปลือกตาบวมแดง หรือเปลือกตาอักเสบและลอก
· อาจมีอาการเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้
· ในบางกรณีอาจจะอาการเหมือนเป็นหวัดร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ ไอ เป็นต้น
· ตาพร่า มองเห็นภาพไม่ชัด
· ขนตาร่วง
· ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโต บวมและมีอาการเจ็บ
7 ประเภทของโรคตาแดง
1. ตาแดงจากภูมิแพ้ โรคตาแดงชนิดนี้มีสาเหตุมาจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่แพ้ เช่น แพ้ตามฤดูกาล แพ้สารต่าง ๆ แพ้คอนแทคเลนส์ เป็นต้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการตาบวม ซึ่งลักษณะการบวมมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความแพ้ของแต่ละคน รู้สึกคันตา เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล เยื่อบุตาแดง ตาไวต่อการรับแสง
2. ตาแดงจากต้อลมและต้อเนื้อ ต้อลมและต้อเนื้อเกิดจากการที่ดวงตาได้รับแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่า UV เป็นส่วนประกอบในแสงแดดและอาจพบเป็นปริมาณมากในแสงจากหลอดไฟบางชนิด ดังนั้นโรคตาแดงชนิดนี้จึงมักจะพบในคนที่ต้องใช้ชีวิตกลางแจ้งหรือโดนแสง UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ในช่วงต้นร่างกายจะยังไม่แสดงอาการอะไร แต่จะเริ่มเห็นความผิดปกติที่เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุตาขาว อาจมีอาการเคืองตา ตาแห้ง รู้สึกเหมือนมีเศษผงอยู่ในตา รวมถึงอาจมีอาการแสบตาหรือตาแดงได้เป็นครั้งคราว
3. ตาแดงจากเส้นเลือดฝอยแตก เส้นเลือดฝอยสามารถแตกได้เมื่อความดันเลือดในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติอย่างกะทันหัน ซึ่งสามารถเกิดได้จากการไอ จาม หรือเบ่งแรง ๆ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ รวมถึงเกิดจากอุบัติเหตุ หรือการขยี้ตาแรง ๆ อีกด้วย ผู้ที่เป็นตาแดงจากเส้นเลือดฝอยแตกโดยทั่วไปจะไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่ในบางรายจะรู้สึกระคายเคืองตา ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เช่น หากเกิดจากการขยี้ตา หรือมีแผลที่เยื่อบุตาร่วมด้วยก็จะรู้สึกระคายเคือง
4. ตาแดงจากการติดเชื้อหนองใน เป็นอาการตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คือ เชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis มักจะเกิดกับทารกแรกคลอด โดยได้รับเชื้อมาจากแม่ขณะคลอด ซึ่งแม่ได้รับเชื้อมาแล้วจากคู่นอน แต่ในปัจจุบันจะพบอาการตาแดงจากสาเหตุนี้น้อยลง เพราะว่ามีการฝากครรภ์ที่ดีก่อนคลอด
ผู้ป่วยจะตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาแล้วจะเจ็บ เคืองตามาก ตาและหนังตาบวม มีขี้ตาเป็นหนอง และเกิดขึ้นเยอะมาก แม้จะเพิ่งเช็ดออกก็จะมีไหลออกมาอีก อาการตาแดงจากเชื้อหนองในจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เพราะมีโอกาสที่เชื้อจะทะลุเข้าสู่กระจก และตาดำได้ หากพบอาการควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์ทันที เพราะหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้อาการรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้
5. ตาแดงจากต้อหินเฉียบพลัน มีสาเหตุมาจากการที่มีความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพราะช่องด้านหน้าลูกตาแคบ ซึ่งช่องด้านหน้าของลูกตานี้จะเป็นที่ระบายน้ำในลูกตา ดังนั้นเมื่อช่องนี้แคบก็มีโอกาสที่การระบายน้ำในลูกตาจะลดลงและทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้นได้ อาจพบภาวะนี้ในผู้ที่มีสายตายาว มีต้อกระจกที่ปล่อยไว้จนสุก เลนส์แก้วตาเคลื่อนจากอุบัติเหตุ หรือเป็นโรคม่านตาอักเสบ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก (Topiramate) ยาลดน้ำมูก ยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิด รวมถึงการหยอดยาบางประเภท ก็เป็นสาเหตุของอาการนี้ได้
ผู้ที่ตาแดงจากต้อหินเฉียบพลันจะมีอาการตาแดง รอบ ๆ ตาดำและจะแดงระเรื่อตลอดเวลา กระจกตาที่เคยใสจะขุ่นมัว รูม่านตาขยาย รู้สึกปวดตา ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง และถ้าหากทิ้งไว้ไม่รักษาอาจทำให้ตาบอดได้
6. ตาแดงจากงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสของโรคงูสวัด (เป็นเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับโรคเริม) ทำให้เกิดแผลขึ้นบริเวณใบหน้าใกล้กับดวงตา ทำให้เชื้อลุกลามเข้าไปในตา ผู้ป่วยจะมีแผลในกระจกตาดำที่มีลักษณะเฉพาะ คือ มีรอยแผลถลอก รูปร่างคล้ายกิ่งก้านไม้
7. ตาแดงจากเชื้อไวรัส โรคตาแดงชนิดนี้เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม อะดีโนไวรัส (Adenovirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถกระจายตัวได้ง่าย มักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน สามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว การติดต่อจะเกิดขึ้นจากการสัมผัสและใช้ของใช้ร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อ โดยผู้ป่วยจะมีอาการตาแดงอย่างเฉียบพลัน เคืองตามาก ตาไวต่อแสง เจ็บตา น้ำตาไหล ตาบวมไม่มีขี้ตา หรือมีขี้ตาเป็นเมือกใส ๆ ซึ่งผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อ 1-2 วัน และจะมีอาการต่อเนื่องกันประมาณ 10-14 วัน
จักษุแพทย์จะวินิจฉัยสาเหตุของอาการตาแดงได้อย่างแม่นยำจากการตรวจสุขภาพดวงตา และการซักถามผู้ป่วยถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น อาการอื่น ๆ ที่ปรากฏ ประวัติทางการแพทย์ อาหารที่บริโภค รูปแบบการดำเนินชีวิต ปัญหาอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา นอกจากนี้ยังอาจมีการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การส่งตรวจขี้ตาเพื่อเพาะเชื้อ เป็นต้น
วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคตาแดง
· ใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง
· ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
· หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ
· หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้
· ใช้กระดาษทิชชูชนิดนุ่มเช็ดขี้ตาหรือซับน้ำตาบ่อยๆ แล้วทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด
· ไม่ใช้ยาหยอดตาขวดเดียวกันกับดวงตาทั้งสองข้าง และให้หยอดตาเฉพาะข้างที่มีอาการเท่านั้น
· แยกของใช้ส่วนตัวออกจากทุกคน เช่น ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน ผ้าห่ม
· หยุดใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายสนิท
· งดว่ายน้ำในสระในช่วงที่โรคตาแดงระบาด
· พักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
· พักการใช้สายตาและพักผ่อนให้เพียงพอ
· ไม่จำเป็นต้องปิดตา เว้นแต่กรณีที่กระจกตาอักเสบ แต่ถ้าหากเคืองตามากอาจปิดตาชั่วคราวหรือสวมแว่นกันแดดแทนได้เช่นกัน
การป้องกันโรคตาแดง
· ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น
· ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
· เมื่อมีสิ่งสกปรกเข้าตา ให้ล้างดวงตาด้วยน้ำสะอาด
· ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินกำหนด โดยห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น และควรล้างคอนแทคเลนส์ให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
· เมื่อสัมผัสใบหน้า ดวงตา หรือของใช้ของผู้ป่วยควรรีบล้างมือด้วยสบู่ทันที
· แยกตัวผู้ป่วยออกจากคนกลุ่มใหญ่เพื่อจำกัดการแพร่ระบาด
· ลดหรืองดการใช้สายตา เพื่อไม่ให้ตาล้า
· หมั่นตรวจเช็คสุขภาพสายตาหากมีคนในครอบครัวเคยมีประวัติการเป็นต้อ
ดวงตาคืออวัยวะสำคัญที่เราใช้งานอยู่แทบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายคนจะต้องอยู่กับหน้าจอตลอดทั้งวัน ดังนั้นการหมั่นดูแลตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth
แหล่งที่มาของข้อมูล
· งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
http://bit.ly/3ERec8Z
http://bit.ly/3m89Cwj
· โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/697/Conjunctivitis
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://bit.ly/3J7QF62
http://bit.ly/3ybWWap
http://bit.ly/3SJZt5f
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/conjunctivitis
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/pinguecula-pterygium
· โรงพยาบาลเพชรเวช
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/pink_eye_detail
· เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/3KRTaL4
http://bit.ly/3KTOvZ0
· โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
http://bit.ly/3kDST3B
· คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=675
· สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร
http://www.msdbangkok.go.th/healthconner_Conjunctivitis.htm
· โรงพยาบาลหูคอจมูก
https://eent.co.th/articles/063/
