โรคฝีดาษลิง (Monley Pox) หรือที่ในปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (World Health Organisation) ใช้ชื่อเรียกว่า Mpox เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นจากสัตว์แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่คนได้ เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ควรระวัง โดยข้อมูลล่าสุดจากสภากาชาดไทยตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 2565 จนถึงวันที่ 23 ส.ค. 2567 พบว่ามีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 829 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 808 ราย (97.47%) และเพศหญิงอีก 21 ราย (2.53%) เราอาจจะกังวลว่าเรามีโอกาสเสี่ยงหรือไม่ โดยวันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิง ที่มา อาการและวิธีป้องกันโรคฝีดาษลิงที่กำลังระบาดในประเทศไทยกัน
โรคฝีดาษลิงคืออะไร
โรคฝีดาษลิง เป็นโรคเกี่ยวกับเชื้อไวรัสที่จัดอยู่ในกลุ่ม Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสอันตรายอื่น ๆ อย่างไข้ทรพิษหรือฝีดาษ (Smallpox) และโรคฝีดาษวัว (Cowpox) โดยโรคฝีดาษลิงมี 2 สายพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (Clade 1) และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก (Clade 2) ซึ่งสายพันธุ์ Clade 2 เกิดการระบาดหนักในปี 2566 แต่ล่าสุด ในปี 2567 มีสายพันธุ์ที่เกิดการกลายพันธุ์จาก Clade 1 คือ สายพันธุ์ Clade 1B ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ปกติ จึงทำให้เกิดการระบาด อีกทั้งยังติดต่อได้ง่ายในเด็ก มีการพบผู้ป่วยที่เป็นเยาวชนมากถึง 70% ซึ่งไวรัสชนิดนี้ส่งผลต่อระบบผิวหนัง ให้เกิดผื่นทั่วร่างกายมีลักษณะคล้ายกับโรคอีสุกอีใส บางรายมีอาการท้องเสีย เจ็บคอร่วมด้วย นับว่าเป็นสายพันธุ์ที่แสดงอาการร้ายแรงกว่าสายพันธุ์ Clade 2 แต่อย่างไรก็ตาม โรคฝีดาษลิงยังนับว่าเป็นโรคติดต่อที่ยังไม่รุนแรง เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้มีเพียง 1-10%
โรค Mpox สายพันธุ์ Clade 1B สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเดิมผ่านสารคัดหลั่ง หรือจากการไอจาม ดังนั้น เราจึงควรระมัดระวังตัวด้วยการล้างมือ หลีกเลี่ยงที่แออัด กินอาหารที่ปรุงสุก สวมหน้ากากอนามัย และเฝ้าระวังอาการตัวเองหากมีการเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเสมอ
โรคฝีดาษลิงมีที่มาอย่างไร
โรคฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสที่มาจากสัตว์ ค้นพบครั้งแรกที่ห้องทดลองประเทศเดนมาร์กในปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 พบการระบาดครั้งแรกในคนในประเทศสาธารณรัฐคองโก จากนั้นจึงพบการระบาดในหลายประเทศในทวีปแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก และในช่วงปี 2565 ฝีดาษลิงมีการกลับมาระบาดอีกครั้งและมีการระบาดไปทั่วโลก
เจาะลึกอาการของโรคฝีดาษลิง
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ลักษณะอาการของโรคฝีดาษลิงจะมีความคล้ายคลึงกับโรคฝีดาษมาก แต่อาการที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นโรคฝีดาษลิงนั่นก็คือ อาการต่อมน้ำเหลืองโตที่สามารถพบอาการบวมได้ที่บริเวณลำคอ ใต้คางและหลังใบหู รวมถึงใต้รักแร้และขาหนีบ ส่วนอาการอื่น ๆ นั้น ผู้ป่วยจะมีไข้ ไม่มีแรง อ่อนเพลีย และในบางกรณีอาจมีอาการหนาวสั่น เหงื่อออก ปวดหลัง ปวดตามร่างกาย เจ็บคอ และไอ โดยอาการเหล่านี้ จะเกิดขึ้นในช่วง 2 วันแรกที่เชื้อเริ่มออกฤทธิ์ (หลังจากเพาะเชื้อในร่างกายมาแล้ว 6-13 วัน) ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ จึงควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก
หลังจากมีไข้ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นรอบใบหน้า ตามด้วยบริเวณแขนขา ศีรษะ ฝ่าเท้าและลำตัว โดยผื่นจะกระจายตัวและหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ กระจายไปถึงลิ้นและช่องปาก ซึ่งผื่นเหล่านี้จะเริ่มจากเป็นผื่นนูนแดง (Maculopapular) เป็นตุ่มน้ำใส (Vesicles) เป็นตุ่มหนอง (Pustules) หลังจากนั้นจะเป็นตุ่มหนองบุ๋มตรงกลาง (Umbilicated Pustules) และค่อย ๆ หายและกลายเป็นสะเก็ด (Crusted) ภายใน 2–4 สัปดาห์
การติดต่อของโรคฝีดาษลิง
ติดต่อจากสัตว์:
- ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับเลือด หนอง สารคัดหลั่ง หรือแผลของสัตว์ที่ติดเชื้อ
- การกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ผ่านความร้อน
ติดต่อจากคน:
- ผ่านการสัมผัสละอองฝอยจากการไอ จามของผู้ป่วย การสัมผัสบาดแผล หรือสิ่งของของผู้ป่วย เช่น แก้วน้ำ เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสติดอยู่ สามารถทำให้ติดฝีดาษลิงได้
- มีโอกาสติดต่อจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์และให้นม
- การใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อหรือมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ
ฝีดาษลิงกับฝีดาษปกติต่างกันอย่างไร
ฝีดาษและฝีดาษลิงเป็น 2 โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งมีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ ซึ่งฝีดาษเกิดจากเชื้อไวรัสที่พบเฉพาะในมนุษย์ ในขณะที่ฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสที่พบได้ในสัตว์ และฝีดาษติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยโดยตรง ในขณะที่ฝีดาษลิงติดต่อจากสัตว์สู่คนผ่านการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรง หรือติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ฝีดาษเป็นโรคที่รุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้ ในขณะที่ฝีดาษลิงเป็นโรคที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก
สัตว์ที่เป็นพาหะที่ต้องระวัง
ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งยังไม่สามารถยืนยันว่าสัตว์อะไรเป็นพาหะหลัก แต่คาดว่าสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น ลิง อุรังอุตัง หนูป่า กระรอก กระต่าย เป็นต้น โดยสัตว์ที่เป็นพาหะเหล่านี้จะเก็บสะสมเชื้อไว้ในร่างกายและแพร่เชื้อเมื่อเราไปสัมผัสสารคัดหลั่ง นอกจากนี้คนที่มีพฤติกรรมกินสัตว์ป่าหรือการชำแหละซากสัตว์ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคฝีดาษลิงได้เช่นกัน
การมีเพศสัมพันธ์สามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้หรือไม่
แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าฝีดาษลิงสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางเพศได้ แต่การพบผู้ป่วยชายรักชายที่มีรอยโรคบริเวณอวัยวะเพศหรือบริเวณใกล้เคียงมีอัตราที่สูงขึ้น ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า การสัมผัสทางเพศหรือการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างกิจกรรมทางเพศอาจเป็นช่องทางการติดต่อที่เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามฝีดาษลิงก็สามารถเกิดได้ทุกเพศและทุกวัย
การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง
แพทย์จะทำการพิจารณาจากอาการ ถ้ามีไข้และตุ่มใส จะเข้าข่ายการเป็นฝีดาษลิงชัดเจน และจะตรวจสารพันธุกรรม (PCR) ของเชื้อจากน้ำลาย น้ำหรือหนองจากตุ่มแผล และตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ด้วยเทคนิค DNA Sequencing เพื่อหายีนที่จําเพาะต่อ Monkeypox Virus และให้แพทย์ติดตามอาการต่อไป
การรักษาโรคฝีดาษลิง
โรคฝีดาษลิงมักจะหายเองได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยไม่ต้องรักษาอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งแพทย์จะติดตามและรักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาอาการ รวมถึงป้องกันภาวะขาดน้ำ และอาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะหากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำช้อน นอกจากนี้ผู้ป่วยยังต้องดูแลผิวหนังที่เกิดการติดเชื้อ โดยการงด แคะ แกะ เกา และรักษาความสะอาดแผลไม่ให้เกิดการอับชื้น
ส่วนการทานยา ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับโรคฝีดาษลิงโดยเฉพาะ แต่พิจารณาใช้ยาบางชนิดเมื่อเกิดกรณีรุนแรง เช่น ยาต้านไวรัส Tecovirimat (TPOXX) ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง หรือการฉีดวัคซีน Smallpox เป็นต้น
วิธีการป้องกันฝีดาษลิง
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีสำหรับการป้องกันฝีดาษลิงได้โดยตรง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ โดยสามารถป้องกันได้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษนั้นเป็นการนำไวรัสชนิดนี้มาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถแบ่งตัวและแพร่กระจายได้ สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ได้รับการปลูกฝีในปี 2523 ไม่จำเป็นต้องรับวัคซีนเพราะยังมีภูมิคุ้มกันอยู่หรืออาจจะฉีดวัคซีนกระตุ้นก็เพียงพอ โดยกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงนั้น ได้แก่ ผู้มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้ออย่างบุคลากรทางการแพทย์ สถานกักกันโรคและผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยฝีดาษลิง เพื่อลดความรุนแรงของอาการฝีดาษลิงที่จะเกิดขึ้น
นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การป้องกันโรคฝีดาษลิงสามารถทำได้โดยวิธีอื่น ๆ เช่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ล้างมือ
- กินอาหารที่ปรุงสุก งดรับประทานอาหารป่า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งของ ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หรืออื่น ๆ ที่เคยสัมผัสกับสัตว์หรือบุคคลที่ติดเชื้อ
ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้เอง แต่โรคนี้ก็มีโอกาสส่งผลรุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ การดูแลและป้องกันตนเอง รวมถึงการส่งต่อความรู้เหล่านี้ให้คนที่คุณรัก ก็เป็นวิธีที่ทำให้เราห่างไกลโรคฝีดาษลิงได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
- โรงพยาบาบสมิติเวช
- โรงพยาบาลศิครินทร์
- Cleveland Clinic
- Center for Disease Control and Prevention
- โรงพยาบาลไทยนครินทร์
- เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3RVeWQ1 - โรงพยาบาลบางปะกอก
https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/324 - Thai PBS
https://www.thaipbs.or.th/news/content/343356 - เจาะลึกระบบสุขภาพ
https://www.hfocus.org/content/2024/08/31395
