ประจำเดือนนับเป็นตัวส่งสัญญาณเกี่ยวกับสุขภาพภายในที่สำคัญของผู้หญิง หนึ่งในภาวะหลักที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนคือ ‘ประจำเดือนไม่มา’ หรือที่เรียกว่า ‘ภาวะขาดประจำเดือน’ ซึ่งนอกจากจะบ่งถึงโอกาสในการตั้งครรภ์ ภาวะนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ได้ด้วย และเพื่อให้สาว ๆ ได้คลายความกังวลเมื่อเกิดภาวะดังกล่าว เราจึงนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาแชร์ให้ได้ทราบกันในครั้งนี้
ประจำเดือนไม่มา หรือภาวะขาดประจำเดือน
ประจำเดือนไม่มา (Missed Period) หรือภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea) คือภาวะที่ประจำเดือนของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ไม่มาตามปกติ โดยทั่วไปประจำเดือนจะมาทุกรอบ 28-30 วัน (หรืออยู่ในช่วง 21-35 วัน) และกินเวลาประมาณ 3-5 วัน โดยระยะเวลาของประจำเดือนนั้นไม่ควรเกิน 7 วัน ในส่วนของปริมาณประจำเดือนในแต่ละวัน ไม่ควรเกินวันละ 80 ซีซี หรือถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ คือไม่ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยเกิน 4 ครั้งนั่นเอง
ภาวะขาดประจำเดือน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การขาดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Amenorrhea) คือ ภาวะที่ผู้หญิงไม่เคยมีประจำเดือนแม้จะอายุเกิน 18 ปีแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปผู้หญิงมักจะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุ 12 ปี
2. การขาดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Amenorrhea) คือ ภาวะที่ผู้หญิงที่เคยมีประจำเดือนมาก่อน แต่ต่อมาประจำเดือนขาดไปอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 3 รอบประจำเดือน
สาเหตุของภาวะขาดประจำเดือน
สำหรับการขาดประจำเดือนปฐมภูมิ อาจเกิดได้จากพันธุกรรม มีความผิดปกติของโครโมโซม หรือมีความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ซึ่งส่งผลให้รังไข่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้ตามปกติ ส่วนการขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมินั้น สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การตั้งครรภ์
- การให้นมบุตร
- การเผชิญกับความเครียด
- น้ำหนักลดหรือเพิ่มมากเกินไป
- ระดับฮอร์โมนไม่สมดุล
- การเข้าสู่ช่วงวัยทอง
- การออกกำลังกายอย่างหนัก
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาความดันโลหิตสูง
- การอยู่ในภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ภาวะทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์
- การทำงานของรังไข่ล้มเหลวก่อนกำหนด จากการฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด
มีภาวะขาดประจำเดือนแบบไหนถึงเรียกว่าตั้งครรภ์
เราสามารถสังเกตอาการของการขาดประจำเดือนทุติยภูมิที่เกิดจากการตั้งครรภ์ได้ โดยจะมีอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นตั้งครรภ์ร่วมกับภาวะขาดประจำเดือน ได้แก่
• อ่อนเพลีย เนื่องจากเมื่อมีทารกในครรภ์ร่างกายบางส่วนต้องต้องทำงานหนักขึ้น เช่น หัวใจ ไต ปอด เป็นต้น
• เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หรือหน้ามืด จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความดัน
• เบื่ออาหาร หรืออยากรับประทานอาหารแปลก ๆ ที่ตนเองไม่ทานมาก่อน รวมถึงผลไม้รสเปรี้ยวด้วย
• คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการแพ้ท้องที่อาจเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังจากตั้งครรภ์
• อารมณ์แปรปรวนและอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
• ปัสสาวะบ่อยขึ้น เพราะมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้น จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ
• เต้านมและหัวนมเกิดการเปลี่ยนแปลง รู้สึกคัดตึง
• ตกขาวมากกว่าปกติ
เมื่อพบสัญญาณจากร่างกายที่กล่าวมาข้างต้นอาจแปลว่ามีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ แต่สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าตั้งครรภ์จริงหรือไม่นั้น คือการใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ หรือพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นคุณก็จะสามารถวางแผนการมีบุตรได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ดูแลตนเองให้ประจำเดือนมาปกติด้วยหลากหลายวิธี
อย่างแรกคือการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเพื่อส่งเสริมให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี พยายามห่างไกลจากความเครียด สร้างความผ่อนคลายจากภายใน พร้อมกับสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้อกัน หาเวลาพักผ่อนจากการทำงาน และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ในส่วนของร่างกายนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับโภชนาการเป็นสำคัญ เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในมาตรฐาน พร้อมกับสร้างสมดุลให้กับการทำงานของระบบฮอร์โมน รวมถึงระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอีกด้วย
สำคัญที่สุดคือการเข้ารับการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดจากแพทย์ เพื่อทราบถึงแนวทางการดูแลร่างกายและจิตใจที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้การรักษาภาวะขาดประจำเดือนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth
แหล่งที่มาของข้อมูล
• โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/amenorrhea
• โรงพยาบาลศิครินทร์
http://bit.ly/3wLsjrD
• โรงพยาบาลเพชรเวช
http://bit.ly/3jdRW1g
• เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/40eKdRq
