หลายคนเข้าใจว่าโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่เกิดขึ้นในวัยเด็กเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีอีกโรคหนึ่งที่มีอาการใกล้เคียงกับโรคอีสุกอีใสในระยะเริ่มต้นนั่นก็คือ โรคงูสวัด ทั้ง 2 โรคนี้มีความเหมือนและความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับทั้ง 2 โรคนี้กันให้มากขึ้น
โรคงูสวัดและโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส “วาริเซลลา ซอสเตอร์” (Varicella-Zoster Virus) จัดเป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้เกิดตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสทั่วร่างกาย มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับวัยอื่น ๆ เช่นกัน โรคนี้เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
โรคงูสวัด (Shingles) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส หากเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อก็จะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่ออาการหายเป็นปกติแล้ว เชื้อก็จะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทสันหลัง รอเวลาเมื่อร่างกายอ่อนแอก็จะแสดงอาการออกมาอีกครั้งตามแนวของเส้นประสาทที่เชื้อโรคซ่อนตัวอยู่ ทำให้อาการจะเกิดเฉพาะในแนวเส้นประสาทและแสดงออกมาทางผิวหนัง ทำให้คล้ายกับงูรัดหรืองูเลื้อย โรคงูสวัดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยแต่ก็มักจะเกิดขึ้นกับผู้สุงอายุ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
โรคอีสุกอีใสจะมีโอกาสขึ้นครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น ในขณะที่โรคงูสวัดมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้
อาการของโรคอีสุกอีใส
ในระยะ 1-2 วันแรกหลังการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหนื่อยง่าย มีอาการปวดศีรษะและเจ็บคอ ความอยากอาหารลดน้อยลง หรือไม่อยากอาหารเลย รวมถึงมีผื่นเป็นจุดแดง ๆ ตามร่างกาย ทั้งใบหน้า หน้าอก หลัง ปาก เปลือกตา และอวัยวะเพศ เมื่อผ่านไปอีก 2 วันหรือเข้าสู่วันที่ 4 ผื่นแดงที่ขึ้นตามตัวนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส และเริ่มรู้สึกคันบริเวณที่เป็นผื่นและตุ่มพอง
เมื่อติดเชื้อครบ 1 สัปดาห์ตุ่มพองที่มีน้ำใสอยู่ด้านในนั้นจะเริ่มแตก เกิดเป็นแผลและตกสะเก็ด ซึ่งจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะหายเป็นปกติ โดยอาการที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรงเมื่อเกิดขึ้นกับเด็ก แต่เมื่อเกิดขึ้นกับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจจะพัฒนากลายเป็นโรคที่รุนแรงขึ้นได้ และแม้ว่าจะเคยได้รับวัคซีนแล้วก็อาจยังมีโอกาสเกิดโรคได้แต่ก็พบได้น้อยและมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาการของโรคงูสวัด
ในระยะ 1-3 วันแรกเป็นระยะที่เชื้อกำลังฟักตัว โดยผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น รู้สึกปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รวมถึงมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนัง สำหรับบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือจะมีอาการชาแต่เมื่อใช้มือสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ โดยอาการมักจะเริ่มต้นขึ้นจากบริเวณเล็ก ๆ ของร่างกายฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น
เมื่อครบ 1 สัปดาห์ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ปวดและกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว โดยตุ่มน้ำที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเกาะกันเป็นกลุ่ม และเรียงเป็นเส้นยาวไปตามแนวของเส้นประสาท นอกจากนี้อาจมีผื่นขึ้นที่คอ ใบหน้า หรือในดวงตาได้ ถัดมาในระยะ 2-4 สัปดาห์ ตุ่มน้ำที่ขึ้นมาจะเริ่มแตกและอาการของผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้นจนหายเป็นปกติ
โรคงูสวัด vs โรคอีสุกอีใส
· โรคอีสุกอีใส
เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เชื้อวีซีวี
· โรคงูสวัด
เกิดจากเชื้อไรวัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส จะเกิดกับผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาแล้วเท่านั้น
· โรคอีสุกอีใส
o แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยโดยตรง
o ผ่านทางสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนเข้าไป
o สัมผัสแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัด
o ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ 10-21 วัน หรือประมาณ 2 สัปดาห์ และสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่จะไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นอีสุกอีใสจนกระทั่งเริ่มมีการแสดงอาการออกมา
· โรคงูสวัด
o ลักษณะการแพร่กระจายจะเหมือนกับโรคอีสุกอีใสเพราะเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน
o เมื่อผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสหายเป็นปกติ เชื้อไวรัสชนิดนี้จะหลบซ่อนอยู่ในร่างกายตามปมประสาทจุดต่าง ๆ และจะแสดงออกมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีปัญหาทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
กลุ่มเสี่ยง
· โรคอีสุกอีใส
o เด็กแรกเกิดและทารกที่มารดาไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน
o วัยรุ่นและผู้ใหญ่
o สตรีมีครรภ์ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส
o ผู้ที่สูบบุหรี่
o ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น คนที่กำลังได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือมีโรคอื่น ๆ ร่วม เช่น โรคมะเร็งหรือผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
o ผู้ที่ต้องใช้ยาสเตียร์รอยด์ในการรักษาโรคหืด
· โรคงูสวัด
o ทุกคนที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส
o ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาด้านระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อน
· โรคอีสุกอีใส
o การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อ
o การติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ป-เอ (Group A Streptococcal Infections) หรือโรคไข้อีดำอีแดง ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูง เจ็บคอ และอาจมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
o โรคปอดบวม
o โรคสมองอักเสบ
o ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (Cerebellar Ataxia)
· โรคงูสวัด
o การสูญเสียการมองเห็นจากการเกิดแผลในกระจกตา
o การติดเชื้อที่ผิวหนัง
o อาการปวดที่ปลายประสาท หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทและเส้นประสาท
o บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือไข้สมองอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
การวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด
แพทย์จะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูลักษณะของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนัง ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วไปและสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย กรณีที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดแพทย์จะนำตัวอย่างเชื้อจากตุ่มน้ำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ สำหรับการวินิจฉัยโรคงูสวัดหากผู้ป่วยเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาแล้ว และมีอาการผื่นขึ้นที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ร่วมกับอาการปวดร้อนบริเวณที่ผื่นขึ้น แพทย์สามารถสันนิษฐานได้เบื้องต้นว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคงูสวัด หากไม่แน่ชัดแพทย์ก็จะนำตัวอย่างเชื้อเข้าไปตรวจในห้องปฏิบัติการเช่นเดียวกัน เพื่อหาแนวทางการรักษาต่อไป
การรักษาโรคอีสุกอีใส
· ผู้ป่วยที่มีร่างกายแข็งแรงและมีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลตนเองอยู่ที่บ้านได้
· กลุ่มที่มีอาการรุนแรง กลุ่มเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำควรรีบเข้าพบแพทย์
· แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการไม่สบายตัวจากอาการไข้ ยาแก้แพ้เพื่อรักษาอาการคันตามผิวหนังที่เกิดจากผื่นและตุ่มน้ำ ยาทาภายนอก เช่น คาลาไมน์ โลชั่น เพื่อลดอาการคันและกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนัง หากมีอาการรุนแรงอาจต้องใช้กลุ่มยาต้านไวรัสเพื่อช่วยฆ่าเชื้อ เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และ ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
การรักษาโรคงูสวัด
· โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกิดขึ้นซ้ำได้
· แพทย์จะรักษาตามอาการทีเกิดขึ้นร่วมกับการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อเร่งให้โรคหายเร็วขึ้นและไม่ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
· แพทย์อาจใช้ยาลดอาการปวด เช่น ยากลุ่มที่ลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และยาทาบางชนิด เพื่อระงับอาการปวดรุนแรง
· เมื่อผิวหนังหายเป็นปกติแล้วแต่ยังมีอาการปวดต่อเนื่อง แพทย์อาจจะใช้ยารักษาอาการปวดที่ปลายประสาทร่วมด้วย
โรคงูสวัดและโรคอีสุกอีใสป้องกันได้ด้วยวัคซีน
ทั้งโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัดสามารถป้องกันได้จากการฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนโรคอีสุกอีใสเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส โดยกลุ่มเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ควรฉีด 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน แต่หากอายุเกิน 13 ปี ควรฉีด 2 เข็มและห่างกันเข็มละอย่างน้อย 1 เดือน ส่วนวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดจะเป็นการฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนังเพียงเข็มเดียว โดยภูมิจะขึ้นเต็มที่หลังฉีดแล้ว 4 สัปดาห์และมีภูมิคุ้มกันอยู่ได้ถึง 10 ปี เหมาะกับผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
แม้ทั้งโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัดจะมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน และมีอาการคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันที่ระยะเวลาการเกิดโรคและอาการเจ็บปวดที่ตามมา การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคได้อย่างเหมาะสม และหมั่นดูแลสุขภาพเพื่อให้ตัวคุณและคนในครอบครัวไม่ต้องทรมานกับโรคนี้
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth หรือหากมีอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อรับการวินิจฉัยโดยละเอียด
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาล MedPark
https://www.medparkhospital.com/content/chicken-pox
· คณะแพทยาสตร์ศิริราชพยาบาล
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=1085
https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=508
· โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/may-2019/herpes-zoster
· โรงพยาบาลธนบุรี 2
https://www.thonburi2hospital.com/health-detail.php?id=6
· โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://www.bangkokhospital.com/content/herpes-zoster-with-the-elderly
· งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
https://bit.ly/3FbsTmj
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3QgmCuk
https://bit.ly/3h4mscS
· คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://www.med.cmu.ac.th/web/news-event/news/pr-news/8594/
โรงพยาบาลสมิติเวช
https://bit.ly/3Bi4uuh
