ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ทั่วทั้งโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 และสภาวะความผันผวนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ ข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน จนเกิดความเครียดสะสมและส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายด้าน ดังนั้นการทำความเข้าใจและรู้วิธีรับมือกับความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดี
มารู้จักโรคเครียดกันก่อน
โรคเครียด คือ ภาวะการเผชิญกับความกดดันจากเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายและจิตใจ โดยร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยสภาวะการสู้หรือหนี (Fight-or-Flight) ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ กล้ามเนื้อหดตัว และความดันโลหิตสูง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดจะรู้สึกกังวล ฟุ้งซ่าน หวาดระแวงกับสถานการณ์กระตุ้น และอาจถึงขั้นฝันร้ายได้ โดยปกติจะมีอาการประมาณหนึ่งเดือน แต่หากนานกว่านั้นอาจจะกลายเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือ PTSD ได้
อาการของโรคเครียด
โดยปกติแล้วผู้ป่วยจะมีอาการทันทีหลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ซึ่งแบ่งระดับอาการได้ 4 ระดับ
1. ความเครียดต่ำ - รู้สึกเบื่อหน่าย ตอบสนองเชื่องช้า ขาดแรงกระตุ้นในการใช้ชีวิต
2. ความเครียดระดับปานกลาง – อารมณ์ขุ่นมัว ไม่ร่าเริงแจ่มใส วิตกกังวล ระดับนี้ยังเป็นความเครียดในระดับปกติ สามารถหากิจกรรมช่วยผ่อนคลายได้
3. ความเครียดระดับสูง - เป็นความเครียดที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์รุนแรง เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม เช่น อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ปวดท้อง นอนไม่หลับ เป็นต้น
4. ความเครียดระดับรุนแรง – ก่อให้เกิดความผิดปกติและเกิดโรคต่าง ๆ เช่น มีอาการทางจิต มีความบกพร่องในการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์
ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย ความรู้สึกและพฤติกรรม
โดยทั่วไปความเครียดมักเริ่มต้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน และสะสมจนแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ
• ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
o กล้ามเนื้อหดตัว ทำให้ปวดหลัง ปวดต้นคอ มีปัญหาเกี่ยวกับเอ็นตามกล้ามเนื้อ
o ร่างกายตื่นตัวมาก ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น มือเท้าเย็น เหงื่อออกตามฝ่ามือ เวียนศีรษะ ปวดไมเกรน หายใจไม่สุดและเจ็บหน้าอก
o อ่อนเพลีย และแรงขับทางเพศลดลง
o ปวดท้องและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
o มีปัญหาการนอน ฝันร้าย นอนไม่หลับ นอนไม่เต็มอิ่ม
o ผมร่วง
o หนังตากระตุก
• ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
o วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน
o รู้สึกกดดันอยู่เสมอ และตื่นตัวง่ายกว่าปกติ
o ไม่มีสมาธิ รวมถึงไม่มีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ แม้จะเป็นสิ่งที่ชอบทำก็ตาม
o ซึมเศร้า รู้สึกเหงา โดดเดี่ยว
o อารมณ์แปรปรวนง่าย
• ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
o รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าปกติ
o โกรธง่าย อารมณ์ฉุนเฉียวและก้าวร้าวรุนแรง
o สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ
o ปลีกวิเวก ไม่เข้าสังคม ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
o ทำกิจกรรมต่าง ๆ และเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง
o มึนงงหลงลืม ไม่มีสติหรือไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวเอง สมาธิสั้น
วิธีการรักษาและการป้องกัน
· สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจว่าแตกต่างไปจากปกติหรือไม่
· ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการมองสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าใจ และมองหาพลังบวกจากสิ่งที่เกิดขึ้น
· ฝึกทักษะการสื่อสาร บอกความต้องการและความรู้สึกกับคนใกล้ชิดหรือเพื่อนร่วมงานให้มากขึ้น
· ปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ได้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
· หากิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจและผ่อนคลายความเครียด
· หากไม่สามารถจัดการความเครียดด้วยตัวเองได้ ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินระดับอาการและรับการรักษาที่เหมาะสม
มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการรับมือและจัดการความเครียดแตกต่างกันออกไป และพลังใจก็คือเชื้อเพลิงสำคัญในการขับเคลื่อนพลังกาย การหมั่นสำรวจและดูแลจิตใจของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถตรวจสุขภาพจิตใจออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/MindHealth
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลบำรงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/stress
· โรงพยาบาลเปาโล
https://bit.ly/3LwROCn
· โรงพยาบาลเพชรเวช
https://bit.ly/3qKJcQT
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3LwROCn