“Work ไร้ Balance” ที่หลาย ๆ คนพูดกัน สำหรับสมัยนี้ก็คงจะไม่เกินจริงสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะเป็นการไล่ตามเป้าหมายในการทำงาน โดยไม่ยอมให้ตัวเองได้หยุดพัก ความกดดันจากสังคมให้อยากประสบความสำเร็จไว ๆ และไหนจะปริมาณงานที่อาจไม่สัมพันธ์กับเงินเดือนที่ได้รับสักเท่าไหร่นั้น ส่งผลให้การทำงานเริ่มกัดกินเวลาส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทีละนิด ทำให้ปัจจุบันการรักษา Work-Life Balance ที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ที่อาจทำให้หลาย ๆ คนเกิดอาการ burnout และหมดไฟในการทำงานได้ในที่สุด
แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ? ที่จะทำให้ชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานเกิด Work-Life Balance ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เราได้ออกไปใช้ชีวิต ได้ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ชอบ และยังได้ทำงานที่ตอบโจทย์กับจิตวิญญาณ บทความนี้มีคำตอบให้ทุกคนค่ะ
Work-Life Balance อะไรคืออะไร?
คือแนวคิดที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ การปรับสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักมากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อตัวเองและคนรอบข้าง โดย Work-Life Balance เป็นการปรับสมดุลการใช้ชีวิต ที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการทำงาน และทุ่มเทเวลาให้กับงานทั้งหมด แต่เราสามารถแบ่งเวลาเพื่อพักผ่อน ดูแลสุขภาพ ทำกิจกรรมและงานอดิเรกที่ชอบ รวมถึงใช้เวลาร่วมกันกับคนรอบข้าง ควบคู่กันไปด้วยได้ โดยที่ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความรับผิดชอบต่องานของเรา
เพราะอะไรการรักษาสมดุลชีวิตจึงสำคัญต่อคนยุคใหม่
ในยุคสมัยปัจจุบันที่เทคโนโลยี มีการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนยุคใหม่มากขึ้น ทำให้ค่านิยมในสมัยก่อนที่มองว่า การทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น ค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา ซึ่งคนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ค่อนข้างมาก เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. การให้คุณค่ากับคุณภาพชีวิต
คนรุ่นใหม่ใส่ใจกับการให้คุณค่ากับชีวิตมากขึ้น โดยมองว่าการทำงานนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเติมความสุขทางใจ การรักษาสุขภาพกายให้ดีอยู่เสมอ การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง รวมถึงการจัดเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน และทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ชอบ เพื่อช่วยให้รู้สึกเติมเต็ม
2. การเปลี่ยนแปลงในค่านิยมและเป้าหมายในชีวิต
คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางและการค้นหาตัวเอง ในแบบฉบับที่ตนเองชอบ รวมถึงให้ความสำคัญกับการได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ค่อนข้างมาก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแต่ละคนนั้น มีค่านิยมและเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันออกไป และมีความหลากหลายมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ
3. ต้องการมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการมีอิสรภาพในการตัดสินใจ และการจัดการชีวิตในแบบของตัวเอง โดยไม่ต้องการถูกจำกัดด้วยงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว จะสามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่มีเวลาและพลังงานเหลือ ที่จะไปทำสิ่งที่ตัวเองรักและสนใจ
4. การแสวงหาความสำเร็จในหลาย ๆ ด้าน
คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพียงแค่ในอาชีพการงานเท่านั้น แต่ยังต้องการประสบความสำเร็จในด้านอื่น ๆ ของชีวิตด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านความสัมพันธ์ ครอบครัว งานอดิเรก และการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ซึ่ง Work-Life Balance จะช่วยให้พวกเขามีโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถและประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต
5. ป้องภาวะการหมดไฟ (Burnout)
คนในรุ่นใหม่ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่สูง รวมถึงต้องรับแรงกดดันจากการทำงานมากมาย ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญ ที่สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ เช่น ความเครียด ภาวะหมดไฟ (Burnout) โรคซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งการจัดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ เหล่านี้ได้
6. เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีที่ทันสมัยและการทำงานทางไกล (Remote work) ทำให้การทำงานไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่สำนักงานเท่านั้น โดยคนรุ่นใหม่สามารถจัดตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ จึงทำให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น
Work-Life Balance ที่ไม่ดี ส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างไรได้บ้าง ?
ทีนี้เรามาดูกันว่า หากเรามีสมดุลชีวิตที่ไม่ดี จะส่งผลกระทบอย่างไรได้บ้าง ?
1. สุขภาพทรุดโทรม
หลายคนที่ทำงานหนักมากเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เช่น ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด ทำงานจนลืมรับประทานอาหาร เป็นต้น การกระทำเหล่านี้ สามารถส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จนโรคต่าง ๆ อาจถามหาได้
2. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง
สำหรับใครที่ใช้เวลาไปกับงานมากเกินไป จนแทบไม่มีมีเวลาให้กับครอบครัว เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนรัก การกระทำแบบนี้ ก็สามารถส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดค่อย ๆ ลดลง จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างบุคคล หรือเกิดการแยกตัวออกจากสังคมได้
3. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
แม้ว่าจะทำงานหนัก และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน แต่ประสิทธิภาพของงานกลับลดลง เพราะการที่เราไม่ได้ให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน จะทำให้ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้า ส่งผลต่อประสิทธิภาพทางด้านความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจ จนทำให้เกิดการทำงานผิดพลาดบ่อยขึ้น
4. ไม่มีความสุขในชีวิต
การใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงาน โดยไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่เรารักหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายเลย จะทำให้เกิดความเครียดสะสม จนทำให้ชีวิตส่วนตัวมีความสุขน้อยลง
5. เสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout)
การทำงานต่อเนื่อง โดยไม่มีการพักผ่อนหรือคลายเครียดอย่างเพียงพอ อาจทำให้หลาย ๆ คนเข้าสู่ภาวะ Burnout ที่ทำให้เบื่อ หมดแรง และไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานและการใช้ชีวิต
วิธีการสร้าง Work-Life Balance ที่ดี
ทีนี้เมื่อเรารู้ว่า Work-Life Balance ที่ไม่ดีเป็นอย่างไรแล้ว เรามาดูวิธีการสร้าง Work-Life Balance ที่ดีกันบ้าง เพื่อปรับจูนชีวิตให้กลับมาสมดุลและมี energy อีกครั้ง
1. กำหนดเส้นแบ่งให้ชัดเจนระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
2. แบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้างในทุก ๆ วัน รวมถึงกำหนดวันและเวลาพักผ่อนให้ชัดเจน
3. กลับมาดูแลใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น เช่น แบ่งเวลามาออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เป็นต้น
4. วางแผนใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น
5. ตั้งเป้าหมายงานที่ต้องทำในแต่ละวัน และจัดลำดับความสำคัญของงาน
6. งานเร่งแค่ไหนก็อย่าปล่อยให้จิตใจพัง ต้องรู้จักปล่อยวางและกระจายงานที่ล้นมืออยู่ เพราะความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ปริมาณงาน แต่คุณภาพและความรวดเร็วต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ
7. จัดเก็บโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ เพื่อประหยัดเวลาในการทำงาน และสะดวกในการค้นหา
การทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงาน เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่หากยึดติดกับงานมากจนเกินไป จนทำให้ชีวิตด้านอื่น ๆ พัง รวมถึงสุขภาพย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ก็อาจไม่เป็นผลดีต่อตัวเองสักเท่าไหร่ ฉะนั้นการสร้าง Work-Life Balance ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อให้เราใช้ชีวิตในทุก ๆ วันได้อย่างมีความสุข และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว และหากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หรือมองหาประกันสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/ihealthy-ultra
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลเมดพาร์ค
· Okamura Corporation
· เว็บไซต์ไทยรัฐ
· สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
