ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม นักลงทุนควรจะดูข้อมูลและภาพรวมทางเศรษฐกิจในตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสในการลงทุนที่เหมาะกับตัวเองต่อไป วันนี้เราจึงจะขอพาไปดู ‘สัญญาณทางเศรษฐกิจ’ ว่ามีอะไรบ้างที่ควรจับตามองและนำพิจารณาก่อนลงทุนกัน นอกจากนี้ เราจะขอพาไปรู้จักกับ ‘ประกันควบการลงทุน’ ทางเลือกดูแลความปลอดภัยในชีวิตพร้อมสร้างโอกาสได้ผลกำไรตอบแทน
6 ‘สัญญาณทางเศรษฐกิจ’ ที่นักลงทุนควรจับตามอง
1. GDP Growth Rate
GDP หรือ Gross Domestic Product เป็นดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ที่บอกถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศในแต่ละปีว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่ ซึ่ง GDP มีความสำคัญต่อนักลงทุนและการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายเล็กหรือรายใหญ่ ย่อมอยากจะลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดี มีเสถียรภาพ และมีการเติบโตที่มากกว่า
โดยหาก GDP เป็นบวก หมายความว่าเศรษฐกิจภาพรวมเติบโตขึ้นจากปีก่อน ขณะเดียวกันหาก GDP เป็นบวกแต่เป็นบวกที่น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แสดงว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตแต่เติบโตในระดับที่ช้าลงเรื่อยๆ ในทางกลับกัน หาก GDP ติดลบ หมายความว่าเศรษฐกิจโดยภาพรวมมีการหดตัวจากปีก่อน บ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นหยุดชะงักหรือชะลอตัวนั่นเอง
2. อัตราการว่างงาน
ตัวเลขการว่างงานในภาพรวมหากยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะแปลว่าคนในประเทศมีงานทำ แต่ที่สำคัญกว่าตัวเลขที่มากหรือน้อย คือ การวิเคราะห์แนวโน้มการว่างงานว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1% หากเป็น 1% ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นอาจจะมีปัญหาในอนาคตได้
แต่อัตราการว่างงานที่ต่ำก็ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่จะบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้น กำลังขยายตัวไปในทิศทางที่น่าพอใจเสมอไป โดยตัวเลขอัตราการว่างงานที่ต่ำอาจตีความในอีกมุมหนึ่งได้ว่า เพราะหาแรงงานได้ยากมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างประชากรของประเทศกำลังวิ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็เป็นได้
3. เงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่บอกว่าโดยภาพรวมแล้วสินค้าและบริการต่างๆ ราคาแพงขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ (%) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยตัวเลขเงินเฟ้อนี้ถ้าจะให้ดีและถือว่าเป็นภาวะปกติ ไม่มีผลเสียหายต่อภาวะเศรษฐกิจ ต้องเป็นเงินเฟ้อแบบอ่อนๆ ซึ่งข้าวของอาจแพงขึ้นได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่เกิน 5% เพราะเงินเฟ้อแบบอ่อนจะทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน การผลิต การจ้างงาน และรายได้ประชาชาติได้
นอกจากนี้ หากเงินเฟ้อขยับสูงขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออก หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ปรับลดลง เนื่องจากดอกเบี้ยที่เราได้รับจะนำไปใช้ซื้อของได้น้อยลง ซึ่งเงินเฟ้อจึงมีผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน ทั้งผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดังนั้น ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหรือชนะเงินเฟ้อ เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
เป็นผลการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคจากแบบสอบถาม ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่น มุมมองต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างไร มองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือแย่ลง หรือมุมมองต่อการบริโภค จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทำให้เราทันเหตุการณ์หรือมองเห็นแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต อย่างน้อยๆ ภายในระยะเวลาอันใกล้ได้ แต่มุมมองความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว ดังนั้น ตัวเลขนี้จะสามารถบอกอนาคตได้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสามารถดูได้จากการนำผลสำรวจมาคำนวณดัชนีและเปรียบเทียบได้ ดังนี้
● ดัชนี = 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจทรงตัวจากเดือนก่อน
● ดัชนี > 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดือนก่อน และมีแนวโน้มที่จะบริโภคมากขึ้น
● ดัชนี < 50 หมายถึง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเชิงลบต่อเศรษฐกิจกว่าเดือนก่อน และมีแนวโน้มที่จะบริโภคน้อยลง
ตัวอย่างเช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนมิถุนายน 2567 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 52.3 จากระดับ 52.4 ในเดือนก่อนหน้า แต่ดัชนี > 50 ยังอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 โดยสาเหตุคาดว่ามาจากสถานการณ์ภายนอกประเทศส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัว ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อจากปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความกังวลต่อภาระค่าครองชีพและราคาพลังงาน
5. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ
เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้ตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลานั้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการ ว่ามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างไร กำลังกังวลต่อภาวะธุรกิจอยู่หรือไม่ โดยสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการจากแบบสอบถาม ไปยังกลุ่มตัวอย่างธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ใน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ การผลิต คำสั่งซื้อ การลงทุน ต้นทุนการผลิต ผลประกอบการ และการจ้างงาน ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ ดังนี้
● ดัชนี = 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทรงตัวจากเดือนก่อน
● ดัชนี > 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจดีขึ้นกว่าเดือนก่อน
● ดัชนี < 50 หมายถึง ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจแย่ลงกว่าเดือนก่อน
ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤษภาคม 2567 ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.0 จาก 47.3 ในเดือนก่อน แต่ก็ยังมีดัชนี < 50 ซึ่งส่วนหนึ่งจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกดดันความสามารถในการกู้ของลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย
6. ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีนี้ใช้ติดตามภาวะและประเมินแนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชน ได้แก่ พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ปริมาณจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ คอนกรีต กระเบื้อง) การนำเข้าสินค้าทุน ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักร/อุปกรณ์ในประเทศ และปริมาณจำหน่ายยานยนต์เพื่อการลงทุน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะขยายตัวหรือหดตัวได้ดีในระดับหนึ่ง
เนื่องจากเวลาที่ผู้ผลิตขายของได้ ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อของ ทำให้สินค้าคงเหลือเหลือน้อยลง ผู้ผลิตอาจมีแนวโน้มที่จะสั่งของมาผลิตเพิ่มขึ้น เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกันหากผู้ผลิตขายของไม่ได้ ผู้บริโภคไม่ซื้อหรือซื้อน้อยลง สินค้าคงเหลือมีมากขึ้น ผู้ผลิตจำนวนมากก็จะชะลอการผลิต อาจสั่งเครื่องจักร สั่งสินค้าน้อยลง ก็เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตช้าลง
หลังจากเราได้ดูสัญญาณทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนควรจับตามองกันไปแล้ว เราไปเช็กกันดีกว่าว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
● เศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มขยายตัวได้สูงขึ้นที่ร้อยละ 2.6 และ 3.0 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายต่อคน การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่องแม้จะชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัวสูง และการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี
● เศรษฐกิจโลก OECD คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ขึ้นสู่ร้อยละ 3.1 จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 2.9 พร้อมกับปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ จีน และยูโรโซน เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลงและอุปสงค์ฟื้นตัวขึ้น
เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนเพื่อหาโอกาสสร้างผลกำไรมากขึ้นแต่ยังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี เราขอแนะนำ ‘ประกันควบการลงทุน’ การลงทุนที่ไเ้ทั้งการคุ้มครองชีวิต พร้อมโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน
ประกันควบการลงทุน ทางเลือกคุ้มครองชีวิตพร้อมโอกาสสร้างผลกำไรจากการลงทุน
เบี้ยประกันของกรมธรรม์เหมือนกับประกันแบบอื่น คือมีการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกันชีวิตก่อน แล้วส่วนที่เหลือจึงนำไปหาผลตอบแทน โดยผู้ถือกรมธรรม์สามารถเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง และอาจสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า (หรือต่ำกว่า) ได้ในระยะยาวได้เลย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณทางเศรษฐกิจให้เราได้พิจารณาก่อนการลงทุน แต่ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ เราจึงควรใช้เงินที่ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันในการลงทุน