หนึ่งในแนวทางการกินอาหารสุขภาพหลักที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินในปัจจุบันก็คือ ‘การกินคีโต’ แต่ก่อนที่จะเริ่มกินคีโตกัน เราอยากให้ทุกคนศึกษาให้ดีก่อน

คีโตคืออะไร ? กินอย่างไรให้ลดน้ำหนักได้ผล

 แม้ว่าการกดสั่ง delivery เพื่อกินของอร่อย จากบรรดาร้านดังทั้งหลาย ชวนให้น้ำลายสอ แต่อย่าลืมว่าแคลอรี่ในร่างกายพร้อมจะพุ่งสูงเช่นกัน ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก กลายเป็นหนึ่งในเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแนวทางการกินอาหารสุขภาพหลักที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินในปัจจุบันก็คือ ‘การกินคีโต’ แต่ก่อนที่จะเริ่มกินคีโตกัน เราอยากให้ทุกคนศึกษาให้ดีก่อนว่า คีโตคืออะไร ? มีวิธีการกินอย่างไร ? เหมาะกับเราไหม ? ข้อดีและข้อเสียมีอะไรบ้าง ? รวมถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกินแล้วได้ผลที่ตรงกันข้าม

คีโตเจนิก ไดเอท (Ketogenic Diet) หรือที่เรานิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า คีโต คือ แนวทางการกินอาหารที่เน้นไขมันสูง ซึ่งต้องเป็นไขมันดี และโปรตีนรองลงมา รวมถึงต้องลดการกินคาร์โบไฮเดรตให้ได้มากที่สุด ในอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งเมื่อเราลดการกินคาร์โบไฮเดรตลง ร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้แทน จนเกิดสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Ketone (คีโตน) ที่มีส่วนในการช่วยเผาผลาญได้เป็นอย่างดี

ข้อดีและข้อเสียของการกินคีโต

การกินคีโตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนควรพิจารณาก่อนที่จะเริ่มกินคีโต เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1.        ช่วยลดน้ำหนัก

ทำให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายอยู่ในภาวะคีโตซิส (Ketosis) ที่ทำให้ไขมันสะสมลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ทำให้อิ่มนาน ช่วยลดความอยากอาหาร และช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

2.        ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด 

การกินคีโตจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่เกิน 50 กรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินลดต่ำลง ช่วยให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 (Diabetes type II) ซึ่งเป็นเบาหวานชนิดที่มีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน โดยมักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน

3.        ช่วยลดการเกิดสิว

เนื่องจากไขมันเลว เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว ซึ่งการกินคีโตเน้นการกินอาหารที่เป็นไขมันดี จึงสามารถลดการเกิดสิวได้ ส่งผลให้หน้าใสขึ้น และผิวพรรณดีขึ้น 

4.        ช่วยให้หัวใจแข็งแรง

อาหารคีโต เป็นแหล่งไขมันดี รวมถึงกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรต์ และเพิ่มระดับ HDL-C ซึ่งเป็นไขมันดี ที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ระบบเผาผลาญดีขึ้น จึงทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

5.        ช่วยป้องกันระบบการทำงานของสมอง

จากการศึกษาพบว่า การกินคีโต มีประโยชน์ในเชิงป้องกันและเสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์สมอง เนื่องจากสารคีโตนสามารถซึมเข้าสู่ชั้นเยื่อกั้นระหว่างหลอดเลือดและสมองได้โดยง่าย และเป็นแหล่งพลังงานที่สม่ำเสมอของเซลล์สมอง จึงสามารถป้องกันโรคบางชนิดที่เกี่ยวกับสมองได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม เป็นต้น

1.        ภาวะขาดสารอาหาร

การกินคีโตต้องลดปริมาณอาหารบางประเภทลง จึงอาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารสำคัญบางชนิดไม่เพียงพอ เช่น กากใย วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ โลหิตจาง ผิวแห้ง กระดูกพรุน เป็นต้น 

2.        ทำให้เกิดกลิ่นปากและกลิ่นตัว

เนื่องการกินอาหารที่มีไขมันสูง ร่างกายจะผลิตสารคีโตนขึ้นมาและขับออกทางปัสสาวะ ลมหายใจ และผิวหนัง

3.        ท้องผูก ขาดน้ำและแร่ธาตุ 

ร่างกายจะขับสารคีโตนออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดน้ำและแร่ธาตุ และการรับประทานคาร์โบไฮเดรตปริมาณต่ำมาก อาจทำให้ร่างกายได้รับกากใยไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก

4.        กระหายน้ำบ่อย

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่กินคีโต เกิดจากการที่ร่างกายขับน้ำ ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ จึงต้องคอยจิบน้ำบ่อย ๆ

5.        ไข้คีโต (Keto Flu)

เมื่อร่างกายเกิดภาวะคีโตซิส อาจทำให้เป็นไข้ ไม่สบายตัว ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน หรืออ่อนเพลีย ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง ภายใน 2 สัปดาห์

ผู้ที่ไม่ควรกินคีโตมีใครบ้าง ?

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกินคีโตได้ เนื่องจากการลดคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มไขมัน อาจส่งผลกระต่อสุขภาพของคนบางกลุ่ม ได้แก่

1.        หญิงมีครรภ์ 

เพราะการกินคีโตจะจำกัดปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 15% ซึ่งคนท้องควรได้รับโปรตีนมากกว่า 20% ขึ้นไป จึงจะเพียงพอและเหมาะสม

2.        เด็กและวัยรุ่น

เพราะควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอและเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต

3.        ผู้ที่ร่างกายมีปัญหาในการเผาผลาญไขมัน 

การกินคีโตจะทำให้เกิดการสะสมของไขมัน และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

4.        ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 (Diabetes type I) 

ถึงแม้ว่าผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 จะสามารถกินคีโตได้ แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 การขาดคาร์โบไฮเดรตอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซีส (Ketoacidosis) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่ระดับคีโตนในเลือดสูงเกินไป ซึ่งการสะสมของคีโตนในร่างกายทำให้เกิดกรดในเลือด ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อาเจียน ปวดท้อง หายใจลำบาก และอาจนำไปสู่การหมดสติได้

5.        ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ หรือระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากการกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณต่ำ จะลดความหลากหลายของชนิดจุลินทรีย์ต่าง ๆ ในลำไส้

6.        ผู้ที่เป็นโรคตับ 

ตับทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน เมื่อกินคีโตจนร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตสิส จะทำให้ตับทำงานหนักกว่าปกติ

7.        ผู้ที่เป็นโรคไต 

การกินคีโตจำเป็นต้องกินโปรตีนในปริมาณเยอะ จึงอาจเกิดภาวะไตเสื่อมได้

8.        ผู้ที่มีเป็นโรคไทรอยด์ 

การกินคีโตอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยดทำงานผิดปกติ ทั้งในผู้ที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) และภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism)

ทั้งนี้หากผู้ที่ไม่เหมาะกับการลดน้ำหนักแบบคีโต ไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเริ่มกิน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น การเกิด ‘ผื่นคีโต’ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่กินคีโต

ผื่นคีโต มีลักษณะเป็นอย่างไร ?

ผื่น คีโต คือ อะไร ? กินคีโตอยู่ แล้วจู่ ๆ ทำไมถึงขึ้นมาเต็มไปหมด ? อย่าเพิ่งตกใจไป เรามาทำความเข้าใจถึง ลักษณะของผื่นคีโต สาเหตุ และวิธีการรักษาไปพร้อม ๆ กัน

ผื่นคีโต (Keto rash) เป็นอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการกินคีโตในระยะแรก ๆ โดยสาเหตุเกิดจากสารคีโตนส่วนเกิน ที่ถูกขับออกมาจากร่างกายทางผิวหนัง เนื่องจากเซลล์ต่าง ๆ ยังไม่สามารถนำสารคีโตนไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ความเข้มข้นของคีโตนในร่างกายสูง จึงเกิดภาวะผิวหนังอักเสบ คันระคายเคือง รวมถึงเป็นผื่นแดงบริเวณหน้าอกและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหายได้เองเมื่อกินคีโตไปสักระยะหนึ่ง หรือสามารถรักษาได้โดยการกลับมากินคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนปกติ และแพทย์อาจสั่งยาที่ช่วยลดการอักเสบให้

วิธีการกินคีโตให้ได้ผล

วิธีการที่ถูกต้องของการกิน คีโต คือ อะไรน้า บอกเลยว่าวิธีการกินคีโตให้ได้ผลนั้นไม่ยากเลย แค่เรามีการวางแผนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งการกินคีโตเป็นการกินแบบ High Fat Low Carbs หรือเป็นการกินไขมันเยอะ แต่กินแป้งน้อย สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มกินคีโต ควรเริ่มต้นด้วยการจัดตารางเมนูอาหารเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การกินคีโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแบ่งสัดส่วนอาหารในการกินออกเป็น 3 ส่วนดังนี้

·       อาหารกลุ่มไขมัน 70%

โดยเน้นไปที่การกินไขมันธรรมชาติ และไขมันดีที่ได้จากไขมันไม่อิ่มตัว

o   ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fat)

พบได้มากในถั่ว เมล็ดพืช น้ำมันบางชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนล่า ถั่วลิสง อัลมอนด์ อะโวคาโด เป็นต้น โดยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจะทำให้ระดับ LDLในเลือดต่ำลง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

o   ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนโอเมก้า 3 (Omega-3 polyunsaturated fat)

พบได้มากในเนื้อปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า แมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน เป็นต้น รวมถึงน้ำพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น โดยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนจะทำให้ระดับของ LDLในเลือดต่ำลง และช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ให้กับร่างกาย

o   ไขมันอิ่มตัว 

สามารถกินได้บ้าง แต่ควรกินในปริมาณที่ไม่มาก โดยพบได้มากในเนื้อสัตว์ และน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น โดยไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับ LDL ในเลือดสูงขึ้น และอาจทำให้ระดับของ HDL ในเลือดสูงขึ้นบ้างเล็กน้อย

เป็นไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางอุตสาหกรรม เช่น เนยเทียม (มาการีน) เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในของทอดต่าง ๆ อีกด้วย โดยไขมันทรานส์จะทำให้ระดับไขมันดี (HDL) ในเลือดลดลง และทำให้ระดับไขมันเลว (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

·       อาหารกลุ่มโปรตีน 25%

โดยเราสามารถเลือกทานได้ทั้ง โปรตีนจากเนื้อสัตว์และโปรตีนจากพืช เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ ถั่วเหลือง เต้าหู เป็นต้น แต่ควรกินโปรตีนที่มีไขมันอิ่มตัวแทรกให้น้อย เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หนังไก่ เบคอน ไส้กรอก เป็นต้น

·       อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต 5%

เป็นกลุ่มที่ควรลดการรับประทานให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประมาณ 20-50 กรัมต่อวันเท่านั้น แต่ไม่ควรงด โดยกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำ ได้แก่ ผลไม้ที่รสไม่หวานจัด เช่น แก้วมังกร แอปเปิ้ลเขียว เป็นต้น ผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น บล็อคโคลี่ ผักโขม เป็นต้น รวมถึงนมมะพร้าว และนมอัลมอนด์ ก็สามารถกินได้ ทั้งนี้ควรกินในปริมาณทั้งหมดไม่เกิน 1½ ถ้วยตวง หรือประมาณ 3 กำมือเล็กต่อวัน รวมถึงควรงดรับประทานอาหารมีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว แป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นพาสต้าต่าง ๆ น้ำตาล เค้ก แอลกอฮอล์ เป็นต้น

นอกจากนี้อาหารคีโตที่ดี ควรเป็นอาหารสด ที่ไม่ผ่านการแปรรูปทางอุตสาหกรรม รวมถึงควรปรุงสุกมื้อต่อมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และควรออกกำลังกายอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ

ข้อควรระวังในการกินคีโต

แม้ว่าการกินคีโตจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่ข้อควรระวังก็มีไม่น้อย ที่ถ้าเรากินคีโตอย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจส่งผลเสีย ทำให้หลายคนกินแล้วน้ำหนักไม่ลด หรืออาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ได้ตามมาในภายหลังได้ จะมีข้อควรระวังอะไรบ้าง เราไปดูกัน

1.        ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคลมชัก โรคไทรอยด์ และโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มกินคีโต เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงทำให้โรคที่เป็นอยู่มีอาการกำเริบหรือเป็นหนักขึ้น

2.        การกินคีโตคือ การกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสัดส่วนที่น้อย แต่สิ่งที่หลายคนเข้าใจคือ การกินคีโตเป็นการงดกินคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด อย่างไฟเบอร์และวิตามิน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกัน

3.        สำหรับบางคนที่กินคีโตแล้วน้ำหนักไม่ลดตามที่คาดหวังไว้ อาจเป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้

·       ร่างกายได้รับแคลอรี่ในปริมาณที่มากเกินไป

แม้การกินคีโตจะเน้นการกินไขมันเป็นหลัก แต่การบริโภคไขมันมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ ก็อาจทำให้น้ำหนักไม่ลดลงได้

·       กินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป

แม้ว่าเราจะพยายามลดคาร์โบไฮเดรตให้ได้มากที่สุด แต่บางครั้งก็อาจได้รับคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอาหารที่ไม่คาดคิด เช่น น้ำสลัด ซอส หรือเครื่องดื่มบางชนิด

·       มีภาวะขาดไฟเบอร์ 

ที่ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ดี

·       มีภาวะเครียดและนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ 

ส่งผลให้ร่างกายหลังฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่อาจกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น และยังลดประสิทธิภาพการเผาผลาญของร่างกายอีกด้วย

·       ไม่ออกกำลังกายหรือออกกำลังกายไม่เหมาะสม

แม้ว่าการกินคีโตจะช่วยในการลดน้ำหนัก แต่การออกกำลังกายก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการไม่ออกกำลังกาย ทำให้การเผาผลาญไขมันลดลง

4.        ผู้ที่กินคีโตเป็นระยะเวลานาน พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและโรคนิ่วในไตเพิ่มขึ้นเนื่องจากขาดแคลเซียมและสารอาหารที่สำคัญ รวมถึงมีการขับน้ำและแร่ธาตุออกจากร่างกายมากเกินไป รวมถึงการกินไขมันเป็นหลัก ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ในผู้หญิง อาจมีผลกระทบต่อฮอร์โมนบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อรอบเดือนและสมดุลฮอร์โมนเพศ ฉะนั้นแนะนำว่าไม่ควรกินคีโตในระยะเวลาที่นานเกิน 6 เดือน

5.        โยโย่เอฟเฟคเมื่อหยุดกินคีโต การกินคีโตสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้สึกโหย เหมือนกับการลดน้ำหนักแบบอื่น ๆ แต่เมื่อไหร่ที่หยุดกินคีโต แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม โดยการรับประทานอาหารที่ไม่ใช่การกินคีโตเต็มรูปแบบ ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวและสัดส่วนกลับขึ้นมาเหมือนเดิม หรือที่เราเรียกกันว่า “โยโย่เอฟเฟค” นั่นเอง

ทีนี้เมื่อทุกคนรู้แล้วว่าการกิน คีโตคืออะไร ? วิธีกินให้ได้ผลเป็นอย่างไร ? รวมถึงข้อควรระวังต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ? ก็สามารถเริ่มต้นกินคีโตเพื่อลดน้ำหนัก ปรับสัดส่วน ให้รูปร่างกลับมาเป๊ะปังกันได้เลย ! ใครที่อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หรือมองหาประกันสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/ihealthy-ultra

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       โรงพยาบาลเมดพาร์ค

·       โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่

อยู่บ้านทำอะไรดี 6 กิจกรรมยามว่างที่น่าสนใจ หาอะไรทำแก้เบื่อในช่วงกักตัวอยู่บ้าน ด้วยกิจกรรมสันทนาการ และ เสริมความรู้ พร้อมสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้น

6 Ways to Banish Quarantine Boredom

6 กิจกรรมยามว่าง ที่จะทำให้การกักตัวไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

Perhaps you’ve come in close contact with someone who has Covid-19, or are at risk of contracting the virus in some other way? Or perhaps you can’t avoid having to go abroad or travel upcountry? One way or another, many of us find ourselves having to suddenly self-quarantine in the face of the global pandemic. Trouble is, staying in constantly can easily give rise to feelings of boredom and loneliness. Understanding how you might feel, we’d like to suggest six activities you can do besides your work to help make life in quarantine more bearable – and perhaps even pleasurable!

Quarantine can be a great opportunity to really get to grips with your health goals. There are plenty of easy ways to get fit and firm in the comfort of your home. No need to invest in expensive equipment either. Whether cardio, yoga, Pilates or weight training, you can easily find a YouTube channel giving instructions so you can simply follow along. Not only is this a great way to build body strength but it should also make life under lockdown quite fun.

Many of us accumulate long lists of movies and shows we’ve always wanted to see. The quarantine period is a golden opportunity for actually watching a few of those films and series. Consider it a well-deserved way to rest, recharge and keep those quarantine blues at bay.

Having to self-quarantine is also almost a blessing for avid bookworms. Now, at last, you have ample time on your hands to get to grips with that reading list. Or if you prefer, you can download any number of audiobooks. Another good option is podcasts which cover an enormous variety of content, ranging from marketing savvy to philosophy and from nutrition to the mystical. A great thing about podcasts is that you can listen to them while you do other things like cooking or the cleaning.

Take an Online Class & Learn Something New

Quarantine offers a good opportunity to pursue self-development and try new things. Why not expand your knowledge with online learning? As you already probably know, the internet is an astonishing source of information. Pick up a new skill such as drawing, a foreign language, or a musical instrument. Or brush up your knowledge to help with your career. Perhaps you could develop your marketing and presentation skills or learn how to write code. The range of online courses available, including many offered by some of the world’s most eminent educational institutes, is ‘virtually’ limitless.

While the Covid-19 situation has forced us to distance ourselves from family and friends, technology can bring us closer to our loved ones through ‘facetime’ or VDO calls. Still being able to enjoy face-to-face conversations makes staying alone much less lonely. Moreover, some of those video applications come with all sorts of filters and gimmicks that add color and amusement to the chats.

Take a break from a tiring day’s work to relax, refresh your senses and develop a new skill. These activities will not only help you conquer boredom during your self-isolation but also elevate your experience.

สำหรับหลายท่านที่มีโอกาสพบปะกับคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเป็นโรค Covid-19 โดยไม่รู้ตัว หรือมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องกักตัวในเวลาต่อมา แน่นอนว่าการอยู่แต่ในห้องทั้งวันอาจทำให้เกิดอาการเบื่อหรือเหงาได้ นอกจากการทำงานแล้ว เราขอแนะนำ 6 กิจกรรมที่จะทำให้การกักตัวของคุณไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นฟิตแอนด์เฟิร์มง่ายๆที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ฟิตเนสราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดีโอ โยคะ พิลาทีส หรือ เวตเทรนนิง ก็สามารถหาช่อง YouTube สอนออกกำลังกายแต่ละประเภทแล้วทำตามได้เลย นอกจากจะทำให้การกักตัวไม่น่าเบื่อแล้วยังทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงมีซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่อยากดูหลายเรื่อง และช่วงกักตัวนี้เองคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเอาซีรีส์หรือภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในลิสมาดูให้หมด เรียกว่าเป็นการพักผ่อนและเติมพลังหลังจากการทำงาน ทำให้การกักตัวครั้งนี้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

อ่านหนังสือ หรือ ฟังพอดแคสต์

เวลาอยู่บ้านแบบนี้คงถูกใจชาวหนอนหนังสือที่มีเวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มอิ่มอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ก็สามารถดาวน์โหลด Audio Book เพื่อให้คนอ่านให้ฟัง หรือจะเลือกฟังพอดแคสต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย ทั้งความรู้ในด้านการตลาด ปรัชญา โภชนาการ ไปจนถึงเรื่องลี้ลับ แถมยังสามารถฟังได้ทุกเวลา เช่นเวลาทำอาหารหรือทำงานบ้านอีกด้วย

เรียนออนไลน์ หาความรู้ใหม่ๆ

เรียกว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่จะได้พัฒนาตัวเอง หาความรู้ใหม่ ๆ ด้วยการเรียนออนไลน์ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เช่น เรียนวาดรูป เรียนภาษา เล่นดนตรี หรือเพิ่มพูนความรู้เพื่อไปใช้ในการทำงาน เช่น ความรู้ด้านการตลาด การเขียน Code หรือทักษะการพรีเซนต์งาน ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สออนไลน์ที่มีเนื้อหาดี ๆ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังต่าง ๆ ให้เลือกสรรมากมาย

Facetime หรือ VDO Call กับครอบครัวหรือเพื่อน

ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรค Covid-19 จะทำให้เราต้องห่างจากครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันก็สามารถทำให้เราได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักได้มากขึ้นผ่าน Facetime หรือ VDO Call ซึ่งทำให้การอยู่คนเดียวนั้นไม่เหงาอีกต่อไปเพราะได้พูดคุยแบบได้เห็นหน้าและแสดงอารมณ์ได้เหมือนเจอหน้ากันจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีฟิลเตอร์หรือลูกเล่นต่าง ๆ สร้างสีสันให้กับการพูดคุยอีกด้วย

หวังว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เรานำเสนอมาจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน ที่สามารถใช้เวลากักตัวนี้ในการพัฒนาตัวเอง พักผ่อนจากการงานที่เหนื่อยล้า และทำให้การกักตัวไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

Getting Vaccinated: What to Do Before and After Your Covid-19 Vaccine

รู้ก่อนลงทะเบียนหมอพร้อม ขอรับการฉีดวัคซีน Covid-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คลายกังวลว่าควรฉีดวัคซีนดีไหม จะมีอาการแพ้วัคซีนหรือไม่

ฉีดวัคซีนโควิด ดีไหม คำแนะนำก่อนและหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 จากผู้เชี่ยวชาญ

Getting a Covid-19 vaccine is definitely something a lot of us have on our minds at the moment. And there is a lot to consider, not least, which vaccine to go for, what is covered under our health insurance and should there be any side effects requiring treatment. As it’s so important to be well-informed, here are some things to be aware of when making your decisions and to help you prepare before your vaccination and be prepared for what may come after.

Should You See a Doctor Before Getting Vaccinated Against Covid-19?

Each person is different and getting a vaccine can alter our immune system and body functions accordingly. To prevent any severe post-vaccine symptoms, those with any of the following conditions should consult a doctor before actually getting vaccinated.

For safety’s sake, those with underlying medical conditions are recommended to get a Covid-19 vaccine to prevent any severe symptoms the virus may cause if one catches it. However, it is also important to consider the extent and type of such underlying health issues. As a sensible precaution, those with any underlying condition are well-advised to consult a doctor prior to getting vaccinated.

2. Those allergic to drugs, foods, or allergens

Those who are sensitive to allergens, or who have a family history of severe allergies, should consult with a doctor regarding any vaccination decisions. It is recommended that before getting vaccinated against Covid-19, you meet with your doctor and go over your options.

The Department of Disease Control recommends that those taking regular medications refrain from taking certain prescription drugs before getting their Covid-19 vaccination. Key drug groups that should be avoided include:

Prescription drugs for migraines, such as Cafergot, Avamigran and Tofago, should not be taken within five days before the vaccination date. Triptan drugs such as Replax should be stopped 24 hours before getting the vaccine.

Antidepressants, including SSRIs, SNRIs and Tricyclic antidepressants such as Fluxetin, Sertralin, Escitalopram, Venlafaxine, Duloxetine, Amitriptyline, Nortriptyline, and Imipramine, should not be taken within 24 hours prior to vaccination.

Nasal decongestants such as Pseudoephedrine should not be taken within 24 hours prior to vaccination.

Hemp oil, nicotine patches, or any supplements and herbs should be avoided for 3-5 days before vaccination.

NSAIDs including Ibuprofen, Arcoxia, and Celebrex should not be taken within 24 hours before vaccination.

To maximize effectiveness, while preventing or minimizing any potential side effects, it is important to be adequately prepared before getting a Covid-19 vaccination. Here are a couple of things to keep in mind.

Get sufficient rest. Those about to get vaccinated should get enough sleep beforehand, and ensure that their bodies are well-rested for at least two days before the vaccination date. It is also recommended to refrain from strenuous exercise during that time.

Avoid drinking any alcoholic beverages before the vaccination appointment.

Drink enough water to meet your physical needs (the recommended amount is 1.5 liters per day).

If you feel unwell or have a fever on the day of your vaccination, your vaccination date should be postponed for at least 1-2 weeks.

After the vaccine dose has been administered, the vaccination center will let recipients rest and wait for 15-30 minutes while they monitor for any signs of side effects. This is because severe allergic reactions, if any, tend to occur within an hour of vaccination. As some people may experience mild side effects post-vaccination, we have gathered some recommendations what to do after getting your vaccine shot.

Avoid any strenuous use of your vaccinated arm for at least two days after your shot.

You may experience mild side effects such as pain, swelling, redness, and heat around the injection area, or symptoms of fever, headache, fatigue, body ache, nausea, vomiting or diarrhea. In such cases, it is recommended to drink plenty of water and to rest according to what your body tells you it needs. Such symptoms are signs that your body’s immune system is responding to the vaccine by speeding up building immunity against it. It is important to note that such symptoms can go away on their own within two to three days. However, if symptoms persist after three days, you are advised to consult a doctor.

In cases of fever or headache, you can take one 500mg tablet of paracetamol every six hours, as necessary. To relieve fever symptoms, consult a doctor for appropriate medication.

In the case of those who experience a severe allergic reaction after their first vaccination, or anaphylaxis, the Department of Disease Control recommends taking a different type of vaccine for the second dose. Even if the allergic reaction isn’t severe enough to require being admitted to an emergency room, such patients should consult an immunologist or allergist. From there, they can consider altering the vaccine type, or making any other changes according to specialist advice in each individual case.

Conditions Requiring Urgent Medical Attention

If you experience any of the following symptoms after vaccination, seek medical attention immediately: severe persistent headache (symptoms differ from regular headache and do not improve after taking paracetamol or other over-the-counter pain relievers); a drop in blood pressure; numbness; weakness in the limbs; seizure; mouth twitches; chest pain; bronchospasm, or; difficulty breathing.

While vaccination may come with side effects, being properly prepared prior to your vaccine appointment and being aware of how to spot symptoms and deal with side effects, should temper their severity. By staying informed, we can be better equipped to resolve each situation by getting proper treatment in a timely manner.

https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/848

การฉีดวัคซีน COVID-19 เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนกำลังพิจารณาในขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นประเภทของวัคซีน ความคุ้มครองจากประกัน รวมถึงความเสี่ยงของอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่ทุกคนควรรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจและให้คุณเตรียมตัวได้ถูกทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน

ผู้ที่ควรพบแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน COVID-19

เนื่องจากร่างกายแต่ละคนอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน และการฉีดวัคซีนอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบร่างกาย ดังนั้นผู้ที่อยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้จึงควรไปพบแพทย์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการเกิดอาการรุนแรงที่ไม่พึงประสงค์ได้

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัยผู้ที่มีโรคประจำตัวควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการเกิดอาการรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากเชื้อ COVID-19 แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรพิจารณาถึงภาวะของโรคประจำตัวด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจในการรับวัคซีน

ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา อาหาร หรือสารก่อภูมิแพ้ เป็นอีกกลุ่มที่ต้องปรึกษาแพทย์ให้ช่วยประเมินการตัดสินใจฉีดวัคซีน รวมถึงผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวมีประวัติแพ้รุนแรง ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน COVID-19

ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำ กรมควบคุมโรคแนะนำให้ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำ ควรงดยาก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยรายชื่อกลุ่มยาที่ประกาศว่าควรงดในขั้นต้นมีดังนี้

• ยากลุ่มไมเกรน ได้แก่ Cafergot, Avamigran, Tofago ควรงดยา 5 วันก่อนฉีดวัคซีน และยากลุ่ม Tripan เช่น Relpax ควรงดยา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีน

• กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า ได้แก่ กลุ่ม SSRI กลุ่ม SNRI และ กลุ่ม Tricyclic antidepressant เช่น Fluoxetin, Sertralin, Escitalopram, Venlafaxine, Duloxetine, Amitriptyline, Nortriptyline และ Imipramine ควรงดยา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีน

• ยากลุ่มลดน้ำมูก เช่น Pseudoephedrine ควรงดยา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีน

• ผู้ใช้น้ำมันกัญชา แผ่นแปะนิโคติน อาหารเสริมและสมุนไพรต่าง ๆ ควรงดยา 3-5 วันก่อนฉีดวัคซีน

• ผู้ใช้ยาแก้อักเสบในกลุ่ม NSAIDS เช่น Ibuprofen, Arcoxia และ Celebrex ควรงดยา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดวัคซีน

การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน

เพื่อให้การฉีดวัคซีนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและป้องกันหรือลดอาหารข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เราจึงควรเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการฉีดวัคซีน COVID-19

พักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนควรนอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยสองวันก่อนฉีดวัคซีน รวมถึงงดออกกำลังกายหนักอีกด้วย

งดรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (1.5 ลิตรต่อวัน)

หากวันที่ไปฉีดเกิดอาการป่วย มีไข้ไม่สบาย ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

ข้อปฏิบัติหลังการฉีดวัคซีน

เมื่อได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ทางศูนย์ที่ให้บริการฉีดวัคซีน จะให้พักสังเกตอาการผู้รับวัคซีนเป็นเวลา 15 – 30 นาทีหลังฉีดแต่ละเข็ม เนื่องจากอาการแพ้รุนแรงซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรงนั้นอาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดวัคซีน เราจึงมีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวหลังการฉีดดังนี้

หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักแขนข้างที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 วัน

หากเกิดอาการข้างเคียงระดับอ่อนๆ อันได้แก่ ปวด บวม แดง ร้อนในบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย แนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนตามที่ร่างกายต้องการ อาการข้างต้นเหล่านี้ เป็นสัญญาณว่า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังตอบสนองต่อวัคซีนและกำลังเร่งตัวสร้างภูมิคุ้มกันสู้กับไวรัส ที่สำคัญคือ อาการเหล่านี้สามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ถ้า 3 วันยังมีอาการ แนะนำให้ไปพบแพทย์

กรณีที่มีไข้สูง ปวดศีรษะ สามารถทานยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด และทานซ้ำหลังจาก 6 ชั่วโมงถ้าจำเป็น หรือปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับยาที่เหมาะสมในการบรรเทาไข้

สำหรับคนที่ได้รับวัคซีน COVID-19 แล้วเกิดปฏิกิริยาแพ้วัคซีน COVID-19 แบบรุนแรงชนิดแอนาฟิแล็กซิส กรมควบคุมโรคไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนชนิดเดียวกันนั้นในเข็มที่ 2 แม้ว่าอาการแพ้ดังกล่าวจะไม่รุนแรงถึงต้องเข้าห้องฉุกเฉินก็ตาม ผู้ป่วยจะต้องเข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันและภูมิแพ้เพื่อพิจารณาเปลี่ยนชนิดวัคซีนที่ฉีด หรือเปลี่ยนเป็นคำแนะนำอื่นใดตามแต่กรณี

ภาวะที่ต้องพบแพทย์ด่วน

หลังฉีดวัคซีนถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรงต่อเนื่อง (อาการจะต่างจากปวดศีรษะปกติ ทานยาพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดที่ใช้อยู่แล้วไม่ดีขึ้น) ความดันตก อาการชาครึ่งซีก แขนขาอ่อนแรง อาการชัก ปากเบี้ยว เจ็บหน้าอก หลอดลมตีบหรือหายใจลำบาก

แม้ว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้เกิดอาการข้างเคียง แต่ถ้าหากเรารู้เท่าทันและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีด รวมถึงวิธีการสังเกตอาการและรับมือกับอาการข้างเคียงต่าง ๆ ก็สามารถลดความรุนแรงและแก้ไขสถานการณ์โดยการได้รับการรักษาได้ทันท่วงที

• โรงพยาบาลรามคำแหง

Comparing Covid-19 Vaccines: Efficacy Rates and Side Effects

รู้ก่อนฉีด วัคซีน COVID-19 เสริมภูมิคุ้มกันไวรัสโควิดได้อย่างสบายใจ เปรียบเทียบทุกค่าย ตอบโจทย์ข้อสงสัยที่คุณอยากรู้ ช่วงอายุ โรคประจำตัว และ ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน

เปรียบเทียบชัด วัคซีน COVID-19 ประสิทธิภาพและผลข้างเคียง

Over the past year, the Covid-19 pandemic has caused many of us to make certain lifestyle changes, both big and small. From working from home to avoiding communal areas, we have adapted our lives and refrained from social activities. This so-called ‘new normal’ seemingly took over our lives, at least until we finally started to see vaccines being developed by various companies and scientists that can curb infections, reduce the severity of the disease, and lower the risk of death.

Covid-19 vaccines are now being produced by various manufacturers around the world, with each company having their own production process. While each Covid-19 vaccine is unique, they are all made for the same purpose — to help build immunity and prevent the pandemic from spreading.

So far there are four types of Covid-19 vaccine:

Messenger RNA (mRNA) Vaccines Created from RNA genetic material, Covid-19 mRNA vaccines instruct our cells to produce a harmless protein that is unique to the virus. This triggers an immune response within the body, stimulating our immune systems to produce antibodies against the virus that can protect us from infection. Current mRNA vaccine options include Pfizer and Moderna.

Viral Vector Vaccines Viral vector vaccines use a genetically modified version of a different virus which has been injected with the Covid-19 virus’s genetic material. Once it enters the body, the vaccine mimics a natural infection, stimulating immunity and triggering the production of antibodies against Covid-19. As the body is being injected with a live virus, there are certain limitations for the immune-compromised when using these vaccines. Current companies producing viral vector vaccines include AstraZeneca, Johnson & Johnson, and Sputnik V.

Inactivated Virus Vaccines Inactivated virus vaccines use actual Covid-19 virus that has been killed or de-activated. When injected into the body, this doesn’t cause the actual disease, but instead triggers the immune system to recognize the presence of a foreign substance. Our bodies then produce antibodies against the Covid-19 virus in much the same way as the old hepatitis A and polio vaccines used to work. As this approach utilizes technology that has already been proven to work in people, it is generally considered to be a safer option for vaccination recipients, especially those with impaired immunity. Companies currently producing inactivated virus vaccines include Sinovac and Sinopharm.

Protein Subunit Vaccines Widely known and practiced Protein Subunit Vaccines have been proven to work in the past, including making hepatitis B and influenza vaccines. They involve mixing viral protein with immune-suppressants, thereby activating the body to create antibodies that fight the virus.

Effectiveness of Different Covid-19 Vaccines

Pfizer: Approved by the World Health Organization (WHO), Pfizer is an mRNA vaccine that protects against the original Covid-19 strain (SARS-CoV-2). The vaccine has efficacy rates of 95% prevention against severe symptoms, and 100% prevention of death. However, there is not enough data yet to support whether or not it protects against further contagion by those vaccinated. The Pfizer vaccine prescribes two doses, three to four weeks apart. Infection is prevented from 12 days after the first shot.

Moderna: Approved by WHO, Moderna is an mRNA vaccine that protects against the original Covid-19 strain, the UK Covid-19 strain (B.1.1.7), as well as the South African Covid-19 strain (501Y.V2). The vaccine has efficacy rates of 92% protection against severe symptoms and 100% prevention of death. There is no definitive information regarding how it protects against further transmission. Moderna prescribes two doses of the vaccine four weeks apart. Infection is prevented from 14 days after the first shot.

AstraZeneca: A Viral vector vaccine, AstraZeneca is WHO-approved, and provides 63.09% protection against the original Covid-19 strain. There is still limited data as to whether the vaccine can prevent transmission. AstraZeneca requires two shots, administered eight to twelve weeks apart. (Those with severe immune imparity are not recommended to take this vaccine).

Johnson & Jonson: Approved by the WHO, Johnson & Johnson is a viral vector vaccine that can prevent Covid-19 infection with 66.9% efficacy with a single dose. Within 28 days after the vaccination severe symptoms are prevented 85.4% and death is prevented 100%.

Sinovac: This WHO-approved inactivated virus vaccine is 51% effective against Covid-19, with an efficacy rate of 100% against severe symptoms and death. There is currently no definitive information to support whether the vaccine is able to prevent further transmission. Sinovac prescribes two doses administered four weeks apart.

Sinopharm: A WHO-approved inactivated virus vaccine, Sinopharm has an efficacy rate of 79% protection against the original Covid-19 strain. There is still no clear evidence showing that the vaccine can prevent further transmission. Sinopharm prescribes two doses three to four weeks apart.

All vaccines come with similar initial symptoms ranging from swelling to redness or itching around the injection area, headache, fatigue, fever, muscle ache, and occasional nausea and vomiting. Some people may also experience a severe allergic reaction. Symptoms should be monitored carefully for 30 minutes after the injection.

Here is a summary of reports of severe allergic reactions for each vaccine:

Pfizer: The US Centers for Disease Control and Prevention (CDC) reports an average of 11.1 severe allergic reaction cases per 1,000,000 doses.

Moderna: The US Centers for Disease Control and Prevention (CDC) reports an average of 2.5 severe allergic reaction cases, per 1,000,000 doses.

WHO reports four cases of blood clots per 1,000,000 doses in the UK, and 10 cases of blood clots per 1,000,000 doses in the EU.

Johnson & Johnson: WHO reports an average of 3.5 cases of blood clots per 1,000,000 doses.

Sinovac: There have been reports that, in addition to initial side effects, those vaccinated with Sinovac have an increased likelihood of experiencing a loss of appetite, sore throat and runny nose as well as paralysis-like weakness in the limbs. More severe effects include narrowing of blood vessels in the brain. Reports show that there are on average 12 cases of severe allergic reactions per 1,000,000 doses.

Sinopharm: The WHO has not yet reported any serious allergic reactions to this vaccine. Despite suspicions that the vaccine can cause blood clots, there is no conclusive evidence pinpointing whether this is an actual result of vaccination or simply cases of co-occurrence. Only 0.5-1.5 such cases are found per 100,000 doses.

All the vaccines mentioned above are effective in preventing outbreak of Covid-19. While they may lead to certain side effects in some individuals, they are still able to greatly reduce the rate of severe disease symptoms and prevent death. Nevertheless, although we now have vaccines to help us curb the pandemic, it is still important to take sound sanitary precautions. Let’s stay vigilant in wearing masks, regularly washing our hands, and maintaining a safe social distance. It’s still the only way to rid ourselves of this pesky pandemic once and for all.

มารู้จักกับวัคซีน COVID-19

ในปัจจุบันมีการคิดค้นวัคซีน COVID-19 จากหลายบริษัทผู้ผลิตจากหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดนี้เพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือ สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการแพร่ระบาด โดยวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 นั้นจะมีทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม หรือ messenger RNA (mRNA) เป็นวัคซีนที่ถูกสร้างขึ้นจากสารพันธุกรรมเอ็มอาร์เอ็นเอ โดยวัคซีนจะส่งผลให้เซลล์ผลิตสารโปรตีนที่มีลักษณะเฉพาะของเชื้อไวรัส ซึ่งโปรตีนนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยการสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อ วัคซีนชนิดนี้ได้แก่วัคซีนของบริษัท Pfizer และ Moderna

วัคซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Viral Vector) วัคซีนชนิดนี้จะนำไวรัสอื่นมาดัดแปลงพันธุกรรมและใส่สารพันธุกรรมของไวรัสโรค COVID-19 เข้าไป หลังจากฉีดแล้วจะเกิดการเลียนแบบการติดเชื้อธรรมชาติ กระตุ้นภูมิคุ้มกันและสร้างแอนติบอดีต่อโรค COVID-19 แต่เนื่องจากยังเป็นไวรัสที่มีชีวิตอยู่เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องในการใช้วัคซีนชนิดนี้ ซึ่งบริษัทที่ผลิตวัคซีนชนิดนี้ได้แก่ AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Sputnik V

วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Virus) เป็นวัคซีนที่มีการผลิตโดยใช้เชื้อไวรัสโรค COVID-19 ที่ตายแล้ว ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะไม่ทำให้เกิดโรคแต่จะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้รับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย หลังจากนั้นร่างกายก็จะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อ COVID-19 เป็นวิธีเดียวกับการผลิตวัคซีนตับอักเสบเอและวัคซีนโปลิโอ จึงมีความปลอดภัยต่อผู้รับวัคซีนโดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมากกว่า บริษัทที่ผลิตวัคซีนขนิดนี้คือ บริษัท Sinovac และ Sinopharm

วัคซีนจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ (Protein Subunit Vaccine) เป็นกระบวนการผลิตวัคซีนที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เพราะใช้ในการผลิตวัคซีนอื่น ๆ ด้วยเช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีหรือวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยการสร้างโปรตีนของเชื้อไวรัสผสมกับสารกระตุ้นภูมิ เพื่อให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีขึ้นเพื่อต่อต้านไวรัสของโรค COVID-19 ขึ้นมา

ประสิทธิภาพของวัคซีน COVID-19

•Pfizer เป็นวัคซีนชนิด mRNA ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 สามารถป้องกันโรค COVID-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม (SARS-CoV-2) ได้ 95% ป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100% แต่ยังไม่มีข้อมูลรองรับในการป้องกันการแพร่เชื้อ กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 3 - 4 สัปดาห์ โดยวัคซีนจะสามารถป้องกันเชื้อได้หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 12 วัน

•Moderna เป็นวัคซีนชนิด mRNA ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 สามารถป้องกันโรค COVID-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม สายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) และสายพันธุ์แอฟริกาใต้ (501Y.V2) ได้ 92% ป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100% ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดในการป้องกันการแพร่เชื้อ กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 4 สัปดาห์ โดยวัคซีนจะสามารถป้องกันเชื้อได้หลังฉีดเข็มแรกแล้ว 14 วัน

•AstraZeneca เป็นวัคซีนชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 สามารถป้องกันโรค COVID-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม ได้ 63.09% สำหรับเรื่องความสามารถในการป้องกันการแพร่เชื้อนั้น WHO ยังไม่มีผลการทดสอบที่แน่ชัด กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 8-12 สัปดาห์ (ไม่แนะนำให้ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมากฉีดวัคซีนดังกล่าว)

•Johnson & Johnson เป็นวัคซีนชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 โดยการฉีดเพียง 1 โดส มีประสิทธิภาพป้องกันโรค COVID-19 ได้ 66.9% ป้องกันอาการรุนแรงได้ 85.4% หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว 28 วัน และการเสียชีวิต 100% แต่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดในการป้องกันการแพร่เชื้อ

•Sinovac เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 โดยมีประสิทธิป้องกันโรค COVID-19 ได้ 51% และสามารถป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100% แต่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดในการป้องกันการแพร่เชื้อ กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 4 สัปดาห์

•Sinopharm เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ได้รับการรับรองจาก WHO ในการฉีดเพื่อป้องกันโรค COVID-19 สามารถป้องกันโรค COVID-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมได้ 79% หลังจากได้รับวัคซีน ส่วนเรื่องความสามารถในการป้องกันการแพร่เชื้อของโรค COVID-19 นั้น WHO ยังไม่มีผลการทดสอบที่ชัดเจน กำหนดให้ฉีด 2 โดส ห่างกัน 3-4 สัปดาห์

อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน

บทความสุขภาพที่สำคัญ